ททท.จำยอมถอยหลัง ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติปี 53 ที่ 14 ล้านคน รายได้ 5.3 แสนล้านบาท เท่ากับตัวเลขปี 2550 เน้นตลาดระยะกลางและใกล้ ที่อนาคตสดใส อย่าง อินเดีย เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง ชูจุดขายฝ่าวิกฤตภายใต้สโลแกนเดิม อะเมซิ่งไทยแลนด์ อะเมซิ่งแวลู เจาะรายตลาด ด้านในประเทศหวังโดเมสติกไมซ์ช่วยดันเป้าปีหน้าแตะ 90 ล้านคนครั้ง
นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่การด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า โดยสรุปแผนการตลาด ททท.ประจำปี 2553 จะเน้นการใช้สื่อในรูปแบบอี-มาร์เก็ตติ้ง เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่นิยมการหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการทำกิจกรรม CRM (Customer Relationship Management) เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
ขณะเดียวกัน ต้องเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาจเป็นในรูปแบบการขยายตลาดเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่เจาะลึกลงไปในเมืองระดับรองที่เศรษฐกิจดี เช่นในตลาดอินเดีย และ รัสเซีย เป็นต้น อีกทั้งเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ เช่น จอร์แดน ปากีสถาน เป็นต้น
“การบุกตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อแหวกช่องทางให้เอกชนได้เห็นทำเลทองของการจะเข้าไปทำตลาด โดยแผนงานของ ททท.ในปี 2553 นี้ จะตั้งอยู่บนพื้นฐานว่ามองเห็นโอกาสการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแล้ว แต่ทั้งนี้ ก็พร้อมปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา หากมีปัจจัยลบที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น”
สำหรับเป้าหมายรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 2553 ตั้งไว้ที่ 14 ล้านคน เติบโต 5.66% จากปีนี้ และมีรายได้ที่ 5.3 แสนล้านบาท เติบโตจากปีนี้ 6.43% ซึ่งยอมรับเป้าหมายดังกล่าวเป็นตัวเลขที่ถอยหลังไปถึง 2 ปี คือ เป็นตัวเลขเดียวกันกับเป้าหมายในปี 2550 เพราะการเติบโตในเป้าหมายของปี 2553 นั้น ได้คำนวณจากตัวเลขรายได้ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของปี 2552 ที่ได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 13.25 ล้านคน ลดลงจากปี 2551 ราว 9.15% ส่วนรายได้ปรับมาอยู่ที่ 4.98 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2551 ราว 13.32%
อย่างไรก็ตาม หากแยกเป็นรายภูมิภาค ในปี 2553 ททท.ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตสูงใน 2 ตลาดหลัก ได้แก่ 1.เอเชียใต้ 823,000 คน เติบโต 13.05% สร้างรายได้ 25,000 ล้านบาท เติบโต 15.47% และ 2.ตลาดตะวันออกกลาง ตั้งเป้าหมายที่ 450,000 คน เติบโต 13.92% รายได้ 19,000 ล้านบาท เติบโต 14.46% เพราะทั้ง 2 ตลาดดังกล่าว เป็นประเทศที่ไม่ถูกกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ และไม่อ่อนไหวต่อเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้ ในปี
2552 เป็น 2 ตลาด เท่านั้นที่ยังคงมีการเติบทั้งด้านจำนวน เฉลี่ยที่ตลาดละ 8.5% และ ด้านรายได้ เฉลี่ยตลาดละ 6.2-7.3%
ส่วนตลาดอื่นๆ ในปี 2553 ก็ตั้งเป้าเติบโต เช่น เอเชียตะวันออก 6,974,000 คน เติบโต 3.81% รายได้ 162,000 ล้านบาท เติบโต 3.48%, ยุโรป 4,170,000 คน เติบโต 7.17% รายได้ 237,000 คน เติบโต 7.41%, อเมริกา 785,000 คน เติบโต 4.95% รายได้ 46,000 ล้านบาท เติบโต 5.87%, โอเชียเนีย 708,000 คน เติบโต 4.12% รายได้ 37,000 ล้านบาท เติบโต 4.52%
สำหรับปี 2552 นี้ ตลาดที่เติบโตลดลง หรือติดลบ ได้แก่ เช่น ตลาดเอเชียตะวันออก ที่คาดว่าจะได้เพียง 6,718,000 คน ลดลง 14.29% รายได้ 156,550 ล้านบาท ลดลง 21.76% และแอฟริกา 90,000 คน ลดลง 17.35% รายได้ 3,700 ล้านบาท ลดลง 19.30% ทั้งนี้ เพราะ ตลาดสำคัญ อย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และ เกาหลี มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ทางด้าน นายประกิตต์ พิริยะเกียรติ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า สำหรับตลาดที่ดูแลอยู่ดังกล่าวนี้ ในปี 2553 จะเน้นเจาะเป็นรายตลาด เช่น ตลาดอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตที่ดีมาก รองลงมาคือ ศรีลังกา ปากีสถาน และบังกลาเทศ ก็มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน
โดยตลาดอินเดีย เจาะ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มครอบครัว คู่แต่งงาน และ ตลาดประชุมสัมมนา (ไมซ์) ชูจุดขายที่ประเทศไทยได้รับรางวัลเป็นเดสติเนชันสำหรับครอบครัวอันดับหนึ่ง และ มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเข้าประเทศไทย ซึ่งตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป จะดำเนินการติดตั้งป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ ริมถนนที่เข้า-ออกสนามบิน กรุงเดลี รวม 4 ป้าย, มุมไบ 4 ป้าย, เชนไน 2 ป้าย และ บังกาลอร์ 2 ป้าย นอกจากนั้น ยังจับมือกับพันธมิตรคู่ค้า “แมคโดนัลด์” ซึ่งมีสาขากว่า 1,000 แห่งทั่วอินเดีย ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ดี จัดโปรโมชันส่งเสริมการขายร่วมกัน พร้อมจัดกิจกรรมชิงรางวัล แพกเกจเที่ยวเมืองไทยฟรี 500 คน
สำหรับตลาดคู่แต่งงาน และไมซ์ จะนำเอกชน เช่น โรงแรม บริษัทนำเที่ยว ไปโรดโชว์ในเมืองเศรษฐกิจต่างๆ ของอินเดีย นำเสนอแพกเกจแต่งงาน และ ไมซ์ ที่ประเทศไทย ซึ่งตลาดแต่งงานของชาวอินเดียในประเทศไทยช่วง 1-2 ปีนี้ โตกว่า 200%
ส่วนตลาดอาเซียน จะแบ่งนักท่องเที่ยวเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มโอเวอร์แลนด์ จับมือประเทศเพื่อนบ้านจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน ล่าสุด ร่วมกับประเทศสิงคโปร์จัดกิจกรรมออโต เวนเจอร์ เช่น แข่งแรลลี่ ข้ามประเทศ และ 2. เอ็กซ์แพท นำเสนอแพกเกจท่องเที่ยวโปรโมตประเทศไทยเป็นวีกเอนเดสติเนชั่น และ ฮอลิเดย์เดสติเนชั่น ที่เดินทางมาท่องเที่ยวได้บ่อยครั้ง
ตลาดออสเตรเลีย จัดแฟมทริป เชิญสมาชิกจากสมาคมนักเขียนจากออสเตรเลีย กว่า 200 คน เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ในเดือน ส.ค.นี้ มั่นใจว่าเมื่อกลับไป จะมีบทความที่เขียนถึงประเทศไทยจากนักเขียนเหล่านั้นไปต่ำกว่า 500 บทความ ทยอยตีพิมพ์ ตลอดทั้งปี เชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียให้เดินทางเข้ามา
****เจาะทัวร์โอเปอเรเตอร์ให้รางวัลจูงใจ***
นายธวัชชัย อรัญญิก ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา กล่าวว่า ปี 2553 ตลาดยุโรป มีแผนการตลาดใน 3 ส่วนหลัก ภายใต้งบประมาณ 380 ล้านบาท ลดลงจากปี 2552ราว 10% เน้นจับมือกับบริษัทนำเที่ยว จัดชาร์เตอร์ไฟลต์ เข้ามาช่วงไฮซีซันปลายปีนี้ ล่าสุด เตรียมเชิญตัวแทนผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวรายใหญ่ในยุโรป แดทัวร์ (DerTour) ซึ่งมีเอเยนซี่ในเครือข่ายกว่า 1 หมื่นรายเป็นสมาชิก โดยจะเชิญมา 700 คน มาสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวในประเทศไทย เพื่อจะได้ข้อมูลกลับไปทำแผนการตลาดและการขาย
นอกจากนั้น ยังเปิดทางให้บริษัทนำเที่ยวเหล่านี้ไปหารือ เพื่อขออินเซนทีฟจากการขายแพกเกจประเทศไทย มาเสนอให้ ททท.พิจารณา เพราะจะได้สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ ซึ่งหาก ททท.ให้ได้ก็จะเร่งดำเนินการทันที เชื่อว่าวิธีนี้ จะจูงใจให้บริษัทนำเที่ยวช่วยเชียร์และเสนอขายเส้นทางประเทศไทยกันอย่างแข็งขัน และเป็นกลยุทธ์ที่ตรงจุดเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการแข่งขันให้ประเทศไทยได้อีกด้วย
และยังเตรียมเชิญโปรกอล์ฟจากยุโรปเข้ามาทดสอบสนามกอล์ฟในประเทศไทย ซึ่งจะได้ทั้งภาพลักษณ์สินค้าสนามกอล์ฟของไทยที่มีเอกลักษณ์โดด และเชิญสื่อมวลชนจากยุโรป อเมริกา และออสเตรีย กว่า 500 คน จัดแฟมทริป มาเยี่ยมชมสินค้าทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย อีกด้วย
สำหรับแผนโรดโชว์ เน้นเดินทางไปเปิดตลาดใหม่ๆ ที่เป็นเมืองรอง และเมืองท่า เช่น บอลติก ยุโรปตะวันตก โปแลนด์ และลัตเวีย โดยมีเป้าหมายที่การเพิ่มจำนวนชาร์เตอร์ไฟลต์จากยุโรปเข้าประเทศไทยให้มากขึ้น ชูจุดขายที่ความคุ้มค่าเงินแต่ต้องตีโจทย์ด้วยว่าแคมเปญที่ออกไปแต่ละครั้ง ต้องมีความแรงพอที่เอาชนะใจของชาวยุโรปที่กำลังมีปัญหาวิกฤตทางการเงินด้วย
ส่วนตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตดี กำลังซื้อดี ไม่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงเน้นเรื่องการเปิดตลาดใหม่เพิ่มเติม เช่น จอร์แดน โอมาน และ อิหร่าน เป็นต้น
///////////////////
****ดึงราชการเที่ยวในประเทศโต 5%****
ทางด้าน นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าด้านตลาดในประเทศ ททท.กล่าวว่า ปี 2553 ททท.ตั้งเป้าตัวเลขนักท่องเที่ยวภายในประเทศไว้ที่ 90 ล้านคนครั้ง มีรายได้ 3.8 แสนล้านบาท เติบโตจากปีนี้ราว 2-5% ภายใต้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรเพื่อทำตลาดราว 500 ล้านบาท
กลยุทธ์หลักจะเสนอแผนการท่องเที่ยว เจาะกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ ข้าราชการ อบต. อบจ.ที่มีกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ ให้เดินทางประชุมและท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยจะร่วมมือกับสมาคมท่องเที่ยวต่างๆ จัดโปรแกรมทัวร์ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมและสัมมนา เพื่อการผ่อนคลาย นอกจากนั้น จะจับกลุ่มเอ็กซ์แพท หรือชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดย ททท.จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ทั้งโครงการเก่า เช่น บินไปบินกลับ ขับรถเที่ยว เส้นทางออมบุญ รวมถึงคิดโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม การจับมือกับกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อกระตุ้นคนต่างจังหวัดให้เดินทางมาเที่ยวกรุงเทพฯ
นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่การด้านนโยบายและแผน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า โดยสรุปแผนการตลาด ททท.ประจำปี 2553 จะเน้นการใช้สื่อในรูปแบบอี-มาร์เก็ตติ้ง เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่นิยมการหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการทำกิจกรรม CRM (Customer Relationship Management) เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
ขณะเดียวกัน ต้องเปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาจเป็นในรูปแบบการขยายตลาดเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่เจาะลึกลงไปในเมืองระดับรองที่เศรษฐกิจดี เช่นในตลาดอินเดีย และ รัสเซีย เป็นต้น อีกทั้งเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ เช่น จอร์แดน ปากีสถาน เป็นต้น
“การบุกตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อแหวกช่องทางให้เอกชนได้เห็นทำเลทองของการจะเข้าไปทำตลาด โดยแผนงานของ ททท.ในปี 2553 นี้ จะตั้งอยู่บนพื้นฐานว่ามองเห็นโอกาสการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแล้ว แต่ทั้งนี้ ก็พร้อมปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา หากมีปัจจัยลบที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น”
สำหรับเป้าหมายรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 2553 ตั้งไว้ที่ 14 ล้านคน เติบโต 5.66% จากปีนี้ และมีรายได้ที่ 5.3 แสนล้านบาท เติบโตจากปีนี้ 6.43% ซึ่งยอมรับเป้าหมายดังกล่าวเป็นตัวเลขที่ถอยหลังไปถึง 2 ปี คือ เป็นตัวเลขเดียวกันกับเป้าหมายในปี 2550 เพราะการเติบโตในเป้าหมายของปี 2553 นั้น ได้คำนวณจากตัวเลขรายได้ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของปี 2552 ที่ได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 13.25 ล้านคน ลดลงจากปี 2551 ราว 9.15% ส่วนรายได้ปรับมาอยู่ที่ 4.98 แสนล้านบาท ลดลงจากปี 2551 ราว 13.32%
อย่างไรก็ตาม หากแยกเป็นรายภูมิภาค ในปี 2553 ททท.ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตสูงใน 2 ตลาดหลัก ได้แก่ 1.เอเชียใต้ 823,000 คน เติบโต 13.05% สร้างรายได้ 25,000 ล้านบาท เติบโต 15.47% และ 2.ตลาดตะวันออกกลาง ตั้งเป้าหมายที่ 450,000 คน เติบโต 13.92% รายได้ 19,000 ล้านบาท เติบโต 14.46% เพราะทั้ง 2 ตลาดดังกล่าว เป็นประเทศที่ไม่ถูกกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ และไม่อ่อนไหวต่อเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้ ในปี
2552 เป็น 2 ตลาด เท่านั้นที่ยังคงมีการเติบทั้งด้านจำนวน เฉลี่ยที่ตลาดละ 8.5% และ ด้านรายได้ เฉลี่ยตลาดละ 6.2-7.3%
ส่วนตลาดอื่นๆ ในปี 2553 ก็ตั้งเป้าเติบโต เช่น เอเชียตะวันออก 6,974,000 คน เติบโต 3.81% รายได้ 162,000 ล้านบาท เติบโต 3.48%, ยุโรป 4,170,000 คน เติบโต 7.17% รายได้ 237,000 คน เติบโต 7.41%, อเมริกา 785,000 คน เติบโต 4.95% รายได้ 46,000 ล้านบาท เติบโต 5.87%, โอเชียเนีย 708,000 คน เติบโต 4.12% รายได้ 37,000 ล้านบาท เติบโต 4.52%
สำหรับปี 2552 นี้ ตลาดที่เติบโตลดลง หรือติดลบ ได้แก่ เช่น ตลาดเอเชียตะวันออก ที่คาดว่าจะได้เพียง 6,718,000 คน ลดลง 14.29% รายได้ 156,550 ล้านบาท ลดลง 21.76% และแอฟริกา 90,000 คน ลดลง 17.35% รายได้ 3,700 ล้านบาท ลดลง 19.30% ทั้งนี้ เพราะ ตลาดสำคัญ อย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และ เกาหลี มีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ทางด้าน นายประกิตต์ พิริยะเกียรติ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ททท. กล่าวว่า สำหรับตลาดที่ดูแลอยู่ดังกล่าวนี้ ในปี 2553 จะเน้นเจาะเป็นรายตลาด เช่น ตลาดอินเดีย ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตที่ดีมาก รองลงมาคือ ศรีลังกา ปากีสถาน และบังกลาเทศ ก็มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน
โดยตลาดอินเดีย เจาะ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มครอบครัว คู่แต่งงาน และ ตลาดประชุมสัมมนา (ไมซ์) ชูจุดขายที่ประเทศไทยได้รับรางวัลเป็นเดสติเนชันสำหรับครอบครัวอันดับหนึ่ง และ มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าเข้าประเทศไทย ซึ่งตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป จะดำเนินการติดตั้งป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ ริมถนนที่เข้า-ออกสนามบิน กรุงเดลี รวม 4 ป้าย, มุมไบ 4 ป้าย, เชนไน 2 ป้าย และ บังกาลอร์ 2 ป้าย นอกจากนั้น ยังจับมือกับพันธมิตรคู่ค้า “แมคโดนัลด์” ซึ่งมีสาขากว่า 1,000 แห่งทั่วอินเดีย ลูกค้าหลักเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ดี จัดโปรโมชันส่งเสริมการขายร่วมกัน พร้อมจัดกิจกรรมชิงรางวัล แพกเกจเที่ยวเมืองไทยฟรี 500 คน
สำหรับตลาดคู่แต่งงาน และไมซ์ จะนำเอกชน เช่น โรงแรม บริษัทนำเที่ยว ไปโรดโชว์ในเมืองเศรษฐกิจต่างๆ ของอินเดีย นำเสนอแพกเกจแต่งงาน และ ไมซ์ ที่ประเทศไทย ซึ่งตลาดแต่งงานของชาวอินเดียในประเทศไทยช่วง 1-2 ปีนี้ โตกว่า 200%
ส่วนตลาดอาเซียน จะแบ่งนักท่องเที่ยวเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มโอเวอร์แลนด์ จับมือประเทศเพื่อนบ้านจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน ล่าสุด ร่วมกับประเทศสิงคโปร์จัดกิจกรรมออโต เวนเจอร์ เช่น แข่งแรลลี่ ข้ามประเทศ และ 2. เอ็กซ์แพท นำเสนอแพกเกจท่องเที่ยวโปรโมตประเทศไทยเป็นวีกเอนเดสติเนชั่น และ ฮอลิเดย์เดสติเนชั่น ที่เดินทางมาท่องเที่ยวได้บ่อยครั้ง
ตลาดออสเตรเลีย จัดแฟมทริป เชิญสมาชิกจากสมาคมนักเขียนจากออสเตรเลีย กว่า 200 คน เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ในเดือน ส.ค.นี้ มั่นใจว่าเมื่อกลับไป จะมีบทความที่เขียนถึงประเทศไทยจากนักเขียนเหล่านั้นไปต่ำกว่า 500 บทความ ทยอยตีพิมพ์ ตลอดทั้งปี เชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวออสเตรเลียให้เดินทางเข้ามา
****เจาะทัวร์โอเปอเรเตอร์ให้รางวัลจูงใจ***
นายธวัชชัย อรัญญิก ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา กล่าวว่า ปี 2553 ตลาดยุโรป มีแผนการตลาดใน 3 ส่วนหลัก ภายใต้งบประมาณ 380 ล้านบาท ลดลงจากปี 2552ราว 10% เน้นจับมือกับบริษัทนำเที่ยว จัดชาร์เตอร์ไฟลต์ เข้ามาช่วงไฮซีซันปลายปีนี้ ล่าสุด เตรียมเชิญตัวแทนผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวรายใหญ่ในยุโรป แดทัวร์ (DerTour) ซึ่งมีเอเยนซี่ในเครือข่ายกว่า 1 หมื่นรายเป็นสมาชิก โดยจะเชิญมา 700 คน มาสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวในประเทศไทย เพื่อจะได้ข้อมูลกลับไปทำแผนการตลาดและการขาย
นอกจากนั้น ยังเปิดทางให้บริษัทนำเที่ยวเหล่านี้ไปหารือ เพื่อขออินเซนทีฟจากการขายแพกเกจประเทศไทย มาเสนอให้ ททท.พิจารณา เพราะจะได้สิ่งที่เขาต้องการจริงๆ ซึ่งหาก ททท.ให้ได้ก็จะเร่งดำเนินการทันที เชื่อว่าวิธีนี้ จะจูงใจให้บริษัทนำเที่ยวช่วยเชียร์และเสนอขายเส้นทางประเทศไทยกันอย่างแข็งขัน และเป็นกลยุทธ์ที่ตรงจุดเสริมความแข็งแกร่งทางด้านการแข่งขันให้ประเทศไทยได้อีกด้วย
และยังเตรียมเชิญโปรกอล์ฟจากยุโรปเข้ามาทดสอบสนามกอล์ฟในประเทศไทย ซึ่งจะได้ทั้งภาพลักษณ์สินค้าสนามกอล์ฟของไทยที่มีเอกลักษณ์โดด และเชิญสื่อมวลชนจากยุโรป อเมริกา และออสเตรีย กว่า 500 คน จัดแฟมทริป มาเยี่ยมชมสินค้าทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย อีกด้วย
สำหรับแผนโรดโชว์ เน้นเดินทางไปเปิดตลาดใหม่ๆ ที่เป็นเมืองรอง และเมืองท่า เช่น บอลติก ยุโรปตะวันตก โปแลนด์ และลัตเวีย โดยมีเป้าหมายที่การเพิ่มจำนวนชาร์เตอร์ไฟลต์จากยุโรปเข้าประเทศไทยให้มากขึ้น ชูจุดขายที่ความคุ้มค่าเงินแต่ต้องตีโจทย์ด้วยว่าแคมเปญที่ออกไปแต่ละครั้ง ต้องมีความแรงพอที่เอาชนะใจของชาวยุโรปที่กำลังมีปัญหาวิกฤตทางการเงินด้วย
ส่วนตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตดี กำลังซื้อดี ไม่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ จึงเน้นเรื่องการเปิดตลาดใหม่เพิ่มเติม เช่น จอร์แดน โอมาน และ อิหร่าน เป็นต้น
///////////////////
****ดึงราชการเที่ยวในประเทศโต 5%****
ทางด้าน นายวันเสด็จ ถาวรสุข รองผู้ว่าด้านตลาดในประเทศ ททท.กล่าวว่า ปี 2553 ททท.ตั้งเป้าตัวเลขนักท่องเที่ยวภายในประเทศไว้ที่ 90 ล้านคนครั้ง มีรายได้ 3.8 แสนล้านบาท เติบโตจากปีนี้ราว 2-5% ภายใต้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรเพื่อทำตลาดราว 500 ล้านบาท
กลยุทธ์หลักจะเสนอแผนการท่องเที่ยว เจาะกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ ข้าราชการ อบต. อบจ.ที่มีกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ ให้เดินทางประชุมและท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยจะร่วมมือกับสมาคมท่องเที่ยวต่างๆ จัดโปรแกรมทัวร์ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมและสัมมนา เพื่อการผ่อนคลาย นอกจากนั้น จะจับกลุ่มเอ็กซ์แพท หรือชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทย
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดย ททท.จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ทั้งโครงการเก่า เช่น บินไปบินกลับ ขับรถเที่ยว เส้นทางออมบุญ รวมถึงคิดโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม การจับมือกับกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อกระตุ้นคนต่างจังหวัดให้เดินทางมาเที่ยวกรุงเทพฯ