“เซ็นทรัล” เชื่อผ่านพรก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท หนุนเศรษฐกิจครึ่งปีหลังฟื้น ประกาศเดินหน้าแผนลงทุนเปิด 2 สาขา มูลค่าลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท คาดเปิดเร็วสุดปลายปีนี้ หลังพับแผนในช่วงต้นปี ล่าสุดเปิด “โฮมเวิร์ค ราชพฤกษ์” พื้นที่กว่า 38,000 ตร.ม. คาดหนุนยอดขายทั้งปี 2,500 ล้านบาท
นายสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีอาร์ซี เพาเวอร์ รีเทล จำกัด และบริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า การผ่านร่างพระราชกำหนดกู้เงินของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2522 จำนวน 4 แสนล้านบาท นับเป็นข่าวดีของธุรกิจทุกภาคส่วนของไทย และเชื่อว่าวงเงินที่เหลืออีก 4 แสนล้านบาทน่าจะผ่านเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีนักลงทุนประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ไม่กล้าลงทุน เกิดปัญหาการว่างงานตามมา การที่รัฐบาลนำเงินมาลงทุนทำให้เงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเกิดการขับเคลื่อน อีกทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนอีกด้วย ซึ่งจะทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้น เชื่อว่ารัฐบาลทำถูกต้องแล้ว เพราะในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศก็ดำเนินการแบบเดียวกัน ซึ่งได้ผลดีพิจารณาได้จากตลาดหุ้นในต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
“เศรษฐกิจไทยผ่านช่วงต่ำสุดมาแล้ว ที่ผ่านมาเราพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย ชะลอการลงทุนระยะยาว เน้นเฉพาะการลงทุนระยะสั้นหรือจัดแคมเปญส่วนลด กระตุ้นยอดขาย แต่หลังจากนี้จะนำแผนการลงทุนระยะยาวที่ชะลอแผนไปในช่วงต้นปี มาดำเนินการต่อ”
**เชื่อศก.ฟื้นลุยเปิดเพิ่ม2สาขา**
สำหรับการลงทุนดังกล่าว จะเป็นการลงทุนเปิดสาขาใหม่อีก 2 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสาขาศรีนครินทร์ ส่วนอีกแห่งยังไม่สามารถเปิดเผยได้คาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายใน 1-2 เดือนนี้และเปิดให้บริการเร็วที่สุดปลายปีนี้หรือต้นปี 53 โดยนโยบายการเปิดสาขาใหม่จะพยายามผนึก โฮมเวิร์ค เพาเวอร์บาย และท็อป มาร์เก็ตไว้ด้วยกัน แต่หากพื้นที่ใดกฎหมายผังเมืองไม่อนุญาตให้เปิดศูนย์ค้าปลีกขนาดใหญ่เพิ่มก็จะไม่มีท็อป มาร์เก็ตอยู่ในสาขานั้น
นอกจากการลงทุนเปิดสาขาใหม่แล้วในปีนี้ จะลงทุนปรับปรุงสาขาเพาเวอร์บายและโฮมเวิร์ค ให้มีความสวยงามดูดีขึ้น โดยโฮมเวิร์คจะปรับปรุงใหม่ 2 สาขาๆ ละ 30-35 ล้านบาท ส่วนโฮมเวิร์คจะปรับปรุงอย่างน้อย 10 สาขาๆ ละประมาณ 10 ล้านบาท นอกจากนี้จะนำสินค้านำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะ จีน เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้แก่สินค้า แต่สินค้าที่นำเข้ามานั้นจะเน้นเฉพาะสินค้าที่มีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าที่มีอยู่ในไทย แต่ราคาจะถูกกว่ามาก พร้อมทั้งรับประกันคุณภาพและหากชำรุดเสียหายสามารถเปลี่ยนคืนได้ โดยจะเน้นสินค้าขนาดเล็ก หรือของตกแต่งบ้าน ของใช้ในครัวเรือน แต่หากสินค้าประเภทใดที่ไทยเป็นฐานการผลิต หรือมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วก็จะไม่นำเข้ามาเช่น ทีวี เป็นต้น
**เปิด โฮมเวิร์ค ราชพฤกษ์”
นายสุทธิสาร กล่าวต่อว่า ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ บริษัทเตรียมฉลองเปิดสาขาใหม่ โฮมเวิร์ค ราชพฤกษ์ สาขาที่ 8 รูปแบบสาขาสแตนอโลนที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มและรวบรวม โฮมเวิร์ค เพาเวอร์บายและทอ็ป มาร์เก็ต เข้าด้วยกัน ตัวอาคาร 2 ชั้นพื้นที่ 38,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ให้เช่า 9,000 ตร.ม. มูลค่าการลงทุน 900 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปท์ “ศูนย์รวมสินค้าเพื่อบ้าน-เครื่องใช้ไฟฟ้าและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่ “ครบ สะดวก ใหม่และใหญ่กว่า”
ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า ในย่านราชพฤกษ์มีคนอยู่อาศัยกว่า 5 แสนครัวเรือน และยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลจากธนาคารอาคารสงเคราะห์พบว่า อสังหาริมทรัพย์ในย่านนี้โตขึ้น 7% โดยในไตรมาส 1/52 มีบ้านจดทะเบียน 2,380 ยูนิต ส่วนไตรมาส 1/52 มีจำนวน 2,546 ยูนิต และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมของตลาดอสังหาฯจะชะลอตัวก็ตาม
จากข้อมูลฐานลูกค้าของบริษัทในย่านดังกล่าวมีกว่า 50,000 ราย อายุระหว่าง 30-45 จำนวน 45% และกว่า 40% ทำงานออฟฟิตและรับราชการ กว่า 20% มีรายได้เกิน 1 แสนบาท/เดือน ซึ่งถือว่ารายได้ต่อหัวสูงมากกว่าในหลายทำเล ทำให้บริษัทตั้งเป้าว่าอัตราการซื้อที่โฮมเวิร์คต่อบิล ประมาณ 2,500 บาท ในขณะที่สาขาอื่นเฉลี่ย 1,700 บาท/บิล เพาเวอร์บาย 3,000 บาท/บิล และท็อป 450-500 บาท /บิลและมีความถี่ในการซื้อ 3 ครั้ง/เดือน โดยตั้งเป้ายอดขายในสาขานี้ประมาณ 60 ล้านบาท/เดือน และคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 3-5 ปี
“แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่อัตราการเติบโตของโฮมเวิร์คยังอยู่ที่ประมาณ 7-10% และเมื่อเปิดสาขาใหม่จะทำให้ทั้งปีมีอัตราการเติบโต 20% หรือมียอดขาย 2,900 ล้านบาท”