ASTVผู้จัดการรายวัน- ตลาดพื้นไม้ลามิเนตครึ่งปีแรกหดตัว30-40% หลังอสังหาฯชะลอเปิดโครงการ แถมกำลังซื้อของลูกค้ายังไม่ฟื้น "ลีโอวูดฯ"แจงไตรมาสแรกยอดขายทรงตัว อานิสงส์สต๊อกขายโครงการยังไม่หมด เผยแผนครึ่งปีหลังเจาะตลาดบน-ค้าปลีก ชูคุณภาพสินค้าจับกลุ่มกำลังซื้อสูง ด้านเคเอฯ แจงได้ลูกค้าปรับปรุงบ้านเก่า-บ้านเดี่ยวทดแทนลูกค้าโครงการ ช่วยรักษายอดขายครึ่งปีแรก จับตาครึ่งปีหลังราคาน้ำมันพุ่งเกิน70ดอลลาร์ ปรับแผนรับมือตลาดทรุดอีกรอบ
นายสมานชัย อธิพันธุ์อำไพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีโอวูด อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้จำหน่ายพื้นไม้ แบรนด์ “ลีโอวูด” กล่าวว่า ภาพรวมตลาดพื้นไม้ทดแทนในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาหดตัวลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก จากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ ขณะที่ตลาดค้าปลีกพื้นไม้ลามิเนตก็มีการหดตัวลงตามกำลังซื้อของลูกค้า
ทั้งนี้ แม้ตลาดรวมของโครงการที่อยู่อาศัยจะหดตัวลงมาก แต่ยอดขายของบริษัทยังทรงตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากยังมียอดคำสั่งซื้อจากโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง(สต๊อก) สั่งซื้อในโครงการเก่าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างยังไม่หมด ทำให้ยอดขายเข้าโครงการยังไม่หายไป แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ยอดขายเข้าโครงการจะเริ่มลดลง เพราะไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด
ส่วนตลาดค้าปลีกนั้นมีการหดตัวลงอย่างมาก ทำให้ยอดขายของบริษัทลดลงไปกว่า 30% ในไตรมาสแรก และจากการหดตัวของตลาด ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมของบริษัทในไตรมาสแรกตกเป้าไปประมาณ 10% โดยในช่วงปลายปีที่ 2551บริษัทตั้งเป้าว่า ในปี52จะมียอดขายทั้งปีรวม 800 ล้านบาท โดยจะมียอดขายมาจากตลาดโครงการ 65% และมียอดขายจากตลาดค้าปลีก 35% แต่หลังจากเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้บริษัทต้องปรับเป้าลงมาที่ 650 ล้านบาทเท่ากับปี51
จากการหดตัวของตลาดโครงการและตลาดค้าปลีกในช่วงต้นปี ทำให้บริษัทต้องมีการปรับแผนการตลาดใหม่ โดยจะเน้นการขยายตลาดกลุ่มค้าปลีกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทต้องทำตลาดร่วมกับตัวแทนจำหน่าย โดยจะไม่เน้นในเรื่องของการจัดแคมเปญโปรโมชั่น แต่จะเน้นสร้างการรับรู้ด้านคุณภาพของสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าแทน เนื่องจากภาวะปัจจุบัน เชื่อว่าลูกค้าที่มีกำลังซื้อจะเน้นเรื่องของคุณภาพสินค้ามากกว่าเน้นเรื่องราคา
"ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมลดการนำเข้าพื้นไม้จากต่างประเทศลงไป และหันมาเน้นจับลูกค้ากลุ่มบน หรือตลาดระดับเกรด A ที่มีกำลังซื้อสูง โดยได้ส่งผลิตภัณฑ์ไม้จริงเข้าเจาะกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมากขึ้น โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ผลิตภัณฑ์ไม้จริงจะเข้ามามีส่วนแบ่งยอดขายรวมอยู่ที่ 50-50% ในขณะที่ปริมาณยอดขายไม้จริงจะอยู่ที่ 35% และไม้ลามิเนตอยู่ที่65% "
ด้านนายกิตติ อภิชนบัญชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคเอ เพาเวอร์ จำกัด กล่าวว่า การชะลอตัวของตลาดอสังหาฯในไตรมาสแรกทำให้บริษัทต้องปรับแผนหันมาเน้นเพิ่มยอดขายกลุ่มไม่พื้นระบบควิกสเต็ป(Quick Step) ทำให้ในครึ่งปีแรกบริษัทสามารถรักษายอดขายไว้ได้ในระดับเดียวกับครึ่งแรกปี51โดยมียอดขายอยู่ที่ 30ล้านบาทเศษ
“เคเอฯหันมาเน้นขายระบบควิกสเต็ป(QuickStep) โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าบ้านเดี่ยวและบ้านปรับปรุงใหม่ ทำให้ยังรักสายอดขายไว้ได้ ซึ่งถือว่าโชคดีที่มีกลุ่มตลาดังกล่าวเข้ามาทดแทนยอดขายในตลาดโครงการอสังหาทำให้รักษายอดขายไว้ได้เท่ากับช่วงเดียวกันของปี51 แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะรักษายอดขายไว้ได้แต่ยอดขายที่ได้มาก็ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ในปีนี้ประมาณ 10%”
สำหรับปี52 นี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม80-100ล้านบาทแต่จากผลกระทบที่เข้ามาทำให้บริษัทมียอดขาย 40%ของเป้าทั้งปีที่วางไว้ โดยยอดขายตลาดโครงการที่หายไปในช่วงครึ่งแรกแรกนี้สูงถึง 40-50% เนื่องจาก ผู้ประกอบการหยุดก่อสร้างโครงการใหม่เพื่อรอโอนหรือระบายสต๊อกเก้าในมือออกไปก่อน
หวั่นน้ำมันเกิน70เหรียญซ้ำเติมกำลังซื้อ
นายกิตติ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ทางด้านราคาน้ำมันว่า คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าในครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นระดับใด เนื่องจากก่อนหน้านั้น รัฐบาลได้ประกาศเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่ม ซึ่งแม้ว่าในช่วงนี้ ราคาน้ำมันในประเทศจะยังไม่ปรับขึ้นในทันที เพราะกองทุนน้ำมันยังชดเชยส่วนต่างให้อยู่ แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง หากกองทุนน้ำมันไม่ชดเชยให้แล้ว จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนและการบริโภคชะลอตัวลงไปอีก
" ตอนนี้ทางบริษัทกำลังปรับแผนการตลาดอีกครั้ง หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะปรับตัวสูงขึ้นกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาเรล และถ้าเป็นเช่นั้น ก็เท่ากับราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเกือบ2เท่า ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง ชะลอการใช้จ่ายเงินจนทำให้เกิดการชะลอตัวของภาพรวมอีกครั้ง "
นายสมานชัย อธิพันธุ์อำไพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีโอวูด อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้จำหน่ายพื้นไม้ แบรนด์ “ลีโอวูด” กล่าวว่า ภาพรวมตลาดพื้นไม้ทดแทนในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาหดตัวลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก จากผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชะลอการพัฒนาโครงการใหม่ ขณะที่ตลาดค้าปลีกพื้นไม้ลามิเนตก็มีการหดตัวลงตามกำลังซื้อของลูกค้า
ทั้งนี้ แม้ตลาดรวมของโครงการที่อยู่อาศัยจะหดตัวลงมาก แต่ยอดขายของบริษัทยังทรงตัวเท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากยังมียอดคำสั่งซื้อจากโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง(สต๊อก) สั่งซื้อในโครงการเก่าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างยังไม่หมด ทำให้ยอดขายเข้าโครงการยังไม่หายไป แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ยอดขายเข้าโครงการจะเริ่มลดลง เพราะไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด
ส่วนตลาดค้าปลีกนั้นมีการหดตัวลงอย่างมาก ทำให้ยอดขายของบริษัทลดลงไปกว่า 30% ในไตรมาสแรก และจากการหดตัวของตลาด ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมของบริษัทในไตรมาสแรกตกเป้าไปประมาณ 10% โดยในช่วงปลายปีที่ 2551บริษัทตั้งเป้าว่า ในปี52จะมียอดขายทั้งปีรวม 800 ล้านบาท โดยจะมียอดขายมาจากตลาดโครงการ 65% และมียอดขายจากตลาดค้าปลีก 35% แต่หลังจากเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้บริษัทต้องปรับเป้าลงมาที่ 650 ล้านบาทเท่ากับปี51
จากการหดตัวของตลาดโครงการและตลาดค้าปลีกในช่วงต้นปี ทำให้บริษัทต้องมีการปรับแผนการตลาดใหม่ โดยจะเน้นการขยายตลาดกลุ่มค้าปลีกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทต้องทำตลาดร่วมกับตัวแทนจำหน่าย โดยจะไม่เน้นในเรื่องของการจัดแคมเปญโปรโมชั่น แต่จะเน้นสร้างการรับรู้ด้านคุณภาพของสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าแทน เนื่องจากภาวะปัจจุบัน เชื่อว่าลูกค้าที่มีกำลังซื้อจะเน้นเรื่องของคุณภาพสินค้ามากกว่าเน้นเรื่องราคา
"ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมลดการนำเข้าพื้นไม้จากต่างประเทศลงไป และหันมาเน้นจับลูกค้ากลุ่มบน หรือตลาดระดับเกรด A ที่มีกำลังซื้อสูง โดยได้ส่งผลิตภัณฑ์ไม้จริงเข้าเจาะกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมากขึ้น โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ผลิตภัณฑ์ไม้จริงจะเข้ามามีส่วนแบ่งยอดขายรวมอยู่ที่ 50-50% ในขณะที่ปริมาณยอดขายไม้จริงจะอยู่ที่ 35% และไม้ลามิเนตอยู่ที่65% "
ด้านนายกิตติ อภิชนบัญชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคเอ เพาเวอร์ จำกัด กล่าวว่า การชะลอตัวของตลาดอสังหาฯในไตรมาสแรกทำให้บริษัทต้องปรับแผนหันมาเน้นเพิ่มยอดขายกลุ่มไม่พื้นระบบควิกสเต็ป(Quick Step) ทำให้ในครึ่งปีแรกบริษัทสามารถรักษายอดขายไว้ได้ในระดับเดียวกับครึ่งแรกปี51โดยมียอดขายอยู่ที่ 30ล้านบาทเศษ
“เคเอฯหันมาเน้นขายระบบควิกสเต็ป(QuickStep) โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าบ้านเดี่ยวและบ้านปรับปรุงใหม่ ทำให้ยังรักสายอดขายไว้ได้ ซึ่งถือว่าโชคดีที่มีกลุ่มตลาดังกล่าวเข้ามาทดแทนยอดขายในตลาดโครงการอสังหาทำให้รักษายอดขายไว้ได้เท่ากับช่วงเดียวกันของปี51 แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะรักษายอดขายไว้ได้แต่ยอดขายที่ได้มาก็ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ในปีนี้ประมาณ 10%”
สำหรับปี52 นี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม80-100ล้านบาทแต่จากผลกระทบที่เข้ามาทำให้บริษัทมียอดขาย 40%ของเป้าทั้งปีที่วางไว้ โดยยอดขายตลาดโครงการที่หายไปในช่วงครึ่งแรกแรกนี้สูงถึง 40-50% เนื่องจาก ผู้ประกอบการหยุดก่อสร้างโครงการใหม่เพื่อรอโอนหรือระบายสต๊อกเก้าในมือออกไปก่อน
หวั่นน้ำมันเกิน70เหรียญซ้ำเติมกำลังซื้อ
นายกิตติ ได้กล่าวถึงสถานการณ์ทางด้านราคาน้ำมันว่า คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าในครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นระดับใด เนื่องจากก่อนหน้านั้น รัฐบาลได้ประกาศเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่ม ซึ่งแม้ว่าในช่วงนี้ ราคาน้ำมันในประเทศจะยังไม่ปรับขึ้นในทันที เพราะกองทุนน้ำมันยังชดเชยส่วนต่างให้อยู่ แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง หากกองทุนน้ำมันไม่ชดเชยให้แล้ว จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลให้การลงทุนและการบริโภคชะลอตัวลงไปอีก
" ตอนนี้ทางบริษัทกำลังปรับแผนการตลาดอีกครั้ง หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะปรับตัวสูงขึ้นกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาเรล และถ้าเป็นเช่นั้น ก็เท่ากับราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเกือบ2เท่า ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง ชะลอการใช้จ่ายเงินจนทำให้เกิดการชะลอตัวของภาพรวมอีกครั้ง "