xs
xsm
sm
md
lg

ครม.เพิ่มดีกรีแผนกระตุ้น ศก.ไฟเขียว 5 แบงก์รัฐเพิ่มทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ครม.เศรษฐกิจ เห็นชอบให้สภาพัฒน์ เกาะติดการใช้งบกระตุ้น ศก.เพื่อติดตามประเมินผล คลังแจงเม็ดเงินกระตุ้น ศก.ชุดที่ 1 เบิกจ่ายไปแล้ว 48% พร้อมไฟเขียวให้เพิ่มทุน 5 แบงก์รัฐ วงเงิน 1.45 หมื่นล้าน หวังช่วยปล่อยกู้ “เอสเอ็มอี” โดยใช้งบกระตุ้น ศก.ชุดที่ 2 คาดแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ค.นี้

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฎิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันที่ 10 มิถุนายน 2552 (วันนี้) โดยระบุว่า กระทรวงการคลังได้รายงานผลการเบิกจ่ายเงินตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดที่ 1 จำนวน 16 โครงการ วงเงินรวม 116,700 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2552 มีการเบิกจ่ายแล้วทั้งสิ้น 55,831.76 ล้านบาท คิดเป็น 47.84% ของวงเงินงบประมาณ

โดยโครงการที่มีการเบิกจ่ายสูงสุด 3 ลำดับแรก คือ โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ โครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี และโครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่างเสริมว่า ครม.เศรษฐกิจ ยังได้มีมติเห็นชอบกรอบการติดตามและประเมินแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนตามที่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) นำเสนอ โดยเห็นควรให้ติดตามประเมินผลใน 2 ส่วน คือ 1.ด้านการบริหารจัดการ โดยติดตามผลการดำเนินงานเรื่องความก้าวหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณ 2.ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจของการดำเนินการ

พร้อมกันนี้ ครม.ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานข้อมูลความก้าวหน้าการดำเนินการตามมาตรการที่รับผิดชอบให้ สศช.ทุก 2 สัปดาห์ เพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ และรายงานต่อ ครม.เศรษฐกิจ ต่อไป

นอกจากนี้ ครม.เศรษกิจ ยังมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังได้เสนอเรื่องการเพิ่มทุนให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หลังจากพบปัญหาในทางปฏิบัติกรณีที่ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ยังคงมีอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง

ดังนั้น ครม.จึงเห็นควรให้เพิ่มทุนโดยใช้งบประมาณที่อยู่ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง จำนวน 1.45 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มทุนได้ประมาณเดือนกรกฎาคม 2552 นี้ สำหรับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.)

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ยังรับทราบความก้าวหน้าการเพิ่มทุนให้แก่สถาบันการเงินของรัฐ โดยให้ติดตามการขยายสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ SMEs การดำเนินการเรื่องสินเชื่อเงื่อนไขผ่อนปรนสำหรับสนับสนุนธุรกิจใน 5 จังหวัดภาคใต้ เนื่องจากสินเชื่อเดิมใกล้ครบกำหนดแล้ว และเร่งรัดการดำเนินงานของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยในการให้สินเชื่อเพื่อการศึกษาแก่เยาวชนใน 5 จังหวัดภาคใต้ต่อไป

ด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานต่อที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ถึงภาพรวมสินเชื่อและสภาพคล่อง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2552 โดยพบว่า เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว และตลาดคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้นักลงทุนกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับตลาดในภูมิภาค เงินบาทแข็งค่าขึ้นในอัตราใกล้เคียงกับภูมิภาค โดยช่วงสัปดาห์แรกของเดือน มิถุนายน 2552 เงินบาทอยู่ที่ระดับ 33.91 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นการแข็งค่าสุดในรอบ 8 เดือน

สำหรับผลการเบิกจ่ายเงินในโครงการตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 16 โครงการ วงเงินรวม 116,700 ล้านบาทนั้น พบว่า ตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2552 มีการเบิกจ่ายแล้ว 55,831 ล้านบาท คิดเป็น 47.84% ของวงเงินงบประมาณ โดยโครงการที่มีการเบิกจ่ายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ โครงการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐ โครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี และโครงการ 5 มาตรการ 6 เดือนเพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน

ขณะที่กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมได้รายงานผลการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการนำเข้า-ส่งออก ต่อที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ โดยปัญหาส่งออก นำเข้าที่เป็นอุปสรรรคต่อนักลงทุนนั้น กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้กรมศุลกากรดำเนินการใน 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ให้ทบทวนกฎหมายและประกาศเพื่อให้ระบุพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้าที่ต้องการควบคุมในประกาศให้ชัดเจน รวมทั้งปรับปรุงหรือยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่ล้าสมัย ส่วนระยะต่อไปเห็นควรให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกหน่วยงานเร่งจัดตั้ง National Single Window กับกรมศุลกากร

ส่วนปัญหาวิธีการคำนวณการให้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่แตกต่างกันระหว่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กับกรมสรรพากร และการเก็บภาษีย้อนหลังสำหรับการนำเข้าเหล็กซิลิคอนนั้น ที่ประชุมเห็นควรเร่งกระบวนการพิจารณาให้แล้วเสริจใน 3 เดือน เพื่อให้มีข้อยุติโดยเร็ว และให้กรมศุลกากรดำเนินการตามระเบียบขั้นตอน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ประกอบการแต่ละราย

อย่างไรก็ดี ปัญหาการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม เรื่องการตีความที่ยังแตกต่างกันระหว่างหน่วยงานเกี่ยวกับการใชสิทธิภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีต่างๆ เห็นควรให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า หากไม่มีพฤติการณ์ที่ผู้นำเข้าจงใจกระทำความผิดอย่างชัดเจนจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้อย่างไร
กำลังโหลดความคิดเห็น