xs
xsm
sm
md
lg

แนะรัฐแตะเบรกขึ้นภาษีน้ำมัน ส.อ.ท.เตือนจังหวะยังไม่เหมาะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ประธาน ส.อ.ท.เตือนรัฐบาลขึ้นภาษีน้ำมันช่วงนี้ ยังไม่เหมาะกับสภาพ ศก.ปัจจุบัน เพราะประชาชนยังวิตกกับรายได้ในอนาคต ไม่กล้าจับจ่าย และยังชะลอการบริโภค อาจทำให้แผนกระตุ้น ศก.ล้มเหลว

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันของรัฐบาล ซึ่งมีผลแล้วตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2552 (วานนี้) โดยระบุว่า เป็นการเลือกช่วงการปรับขึ้นภาษีที่ไม่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจที่ปัจจุบันประชาชนยังขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าจับจ่าย บริโภคอยู่แล้ว จนรัฐบาลต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประชาชนให้ดีขึ้น

นายสันติ กล่าวว่า การเลือกขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในช่วงนี้ เท่ากับสร้างปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในการจับจ่ายใช้สอยโดยตรง แม้ว่าราคาน้ำมันยังไม่เพิ่มขึ้นเพราะรัฐบาลใช้กลไกกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาดูแลก็ตาม เพราะในที่สุดแล้ว กองทุนน้ำม้นเชื้อเพลิงจะดูแลราคาน้ำมันไม่ให้สูงขึ้นได้เพียง ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ในที่สุดราคาน้ำมันก็จะเพิ่มขึ้นตามอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นในอนาคตและราคาน้ำมันจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก เพราะแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกก็อยู่ในขาขึ้นอยู่แล้ว

นายสันติ กล่าวอีกว่า การขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน หากปรับขึ้นภาษีน้ำมันดีเซลด้วย ก็จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนขนส่งสินค้า ซึ่งต้นทุนด้านขนส่ง รัฐบาลไม่ได้ควบคุมค่าบริการเหมือนกับการขนส่งมวลชนอย่าง บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นอกจากนี้ การขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันยังส่งผลกระทบกับประมงชายฝั่งและเกษตรกรที่ใช้น้ำมันดีเซลในการเกษตรด้วย ดังนั้น รัฐบาลต้องดูแลในส่วนนี้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีการดูแลโดยจัดให้มีน้ำมันเขียวดูแลประมงชายฝั่ง

“รัฐบาลควรเลือกขึ้นภาษีในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจดี ประชาชนมีความเชื่อมั่น มีการจับจ่ายใช้สอยก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม เห็นใจ และเข้าใจสถานะของรัฐบาลที่ขณะนี้เศรษฐกิจไม่ดี การจัดเก็บรายได้ได้น้อยลง แต่การเลือกขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในช่วงนี้ไม่น่าจะเหมาะสม เพราะเศรษฐกิจเพิ่งจะเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น”

ดังนั้น การเลือกขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันขณะนี้ จึงกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในการบริโภคทันที และกระทบทำให้การใช้สอยของประชาชนในภาพรวมลดลง เพราะขาดความเชื่อมั่น การขึ้นภาษีครั้งนี้กลับให้ผลในทางตรงกันข้ามกับที่รัฐบาลคาดหวังจะให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้นของประชาชน
กำลังโหลดความคิดเห็น