xs
xsm
sm
md
lg

แนะ "มาร์ค" เร่งประชุมสื่อฟื้นภาพลักษณ์ชาติ กกร.นัดถก 16-17 เม.ย.นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ประธาน ส.อ.ท.เสนอรัฐบาล เร่งจัดประชุมสื่อ เพื่อฟื้นภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นประเทศไทย กกร.ประชุมเร่งด่วน เพื่อประเมินผลกระทบทาง ศก.วันที่ 16-17 เม.ย.นี้ ยันค่าเงินบาทร่วง เป็นแค่ระยะสั้น มั่นใจไทยยังเดินหน้าได้ "เอสแอนด์พี" สบช่องการเมืองป่วน หั่นเครดิตไทย อ้างผลกระทบไม่สารมารถฟื้นได้ในระยะสั้น หวั่นสร้างภาระดอกเบี้ยเงินกู้ลงทุนเมกะโปรเจกต์ ในอนาคต

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาโดยเร็ว โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว เพราะขณะนี้หลายประเทศสั่งห้ามประชาชนเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย รัฐบาลต้องจัดให้มีการประชุมสื่อมวลชนต่างชาติ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนโดยเร็วที่สุด โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องเร่งทำความเข้าใจ คือ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองไทยมากที่สุด ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และ ยุโรป

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็ต้องเร่งทำความเข้าใจกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้ทูตพาณิชย์เร่งชี้แจงสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจโดยเร็วที่สุด

นายสันติ ยังกล่าวในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยระบุว่า ในส่วนของภาคเอกชน กกร.จะเรียกประชุมนัดพิเศษ เพื่อประเมินสภาวะเศรษฐกิจ หลังจากเกิดเหตุวุ่นวายทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยการประชุมจะขึ้นอยู่กับความพร้อมของสมาชิก อาจจะเป็นวันที่ 16 หรือ 17 เมษายน 2552 นี้ โดยจัดขึ้นที่โรงแรมดุสิตธานี

นายสันติ กล่าวว่า สถานการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้นจากการติดตามข่าวสารเห็นว่า ทหารสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และไม่มีการใช้ความรุนแรง และล่าสุดเห็นได้ว่ามีชาวบ้านบางส่วนที่ได้รับความเดือดร้อน ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์การยึดรถก๊าซแอลพีจีไปใช้ในการก่อเหตุด้วย

นายสันติ กล่าวถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจว่า ที่ชัดเจนแล้วคือภาคธุรกิจท่องเที่ยวและการบริโภคของประชาชนที่ลดน้อยลง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะกระตุ้นการบริโภคให้เพิ่มขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ส่วนด้านการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตสำหรับจำหน่ายในประเทศ สิ่งเหล่านี้จะต้องเลื่อนออกไป เนื่องจากปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีการใช้กำลังการผลิตลดลงอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 55-56 เท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องขยายกำลังการผลิตในส่วนนี้

ส่วนโรงงานที่ผลิตเพื่อส่งออก การจะขยายกำลังการผลิตหรือไม่จะขึ้นกับปัจจัยการส่งออก โดยขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่ในภาพรวมเชื่อว่าไตรมาสที่ 1-2 ปีนี้ การส่งออกหดตัวลงร้อยละ 15-20 การนำเข้าเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อการผลิตและส่งออก ลดลงไปมากถึงร้อยละ 30 โดยสินค้าฟุ่มเฟื่อยมีการนำเข้าลดลงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้น โดยส่งออกไม่เติบโตจากที่ 2 ไตรมาสแรกติดลบร้อยละ 15-20 และทั้งปีหากการส่งออกของไทยสามารถประคองตัวได้เท่ากับปี 2551 ก็ถือว่าดีมากแล้ว ส่วนอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) เชื่อว่าปี 2552 อาจจะติดลบร้อยละ 1-2 ส่วนการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าเป็นการอ่อนค่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มดีขึ้น การส่งออกดีขึ้น เงินบาทก็จะกลับมาแข็งค่าเหมือนเดิม

โดยก่อนหน้านี้ นายคิม เอ็ง ตัน นักวิเคราะห์ฝ่ายจัดอันดับการเงินสาธารณะระหว่างประเทศ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือสกุลเงินบาทระยะยาว จากระดับ A เป็น A- และมีโอกาสจะลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้อีกในอนาคต ขณะที่สกุลเงินต่างประเทศระยะยาว อันดับความน่าเชื่อถือยังอยู่ที่ BBB+ แต่มีมุมมองในเชิงลบมากขึ้น สำหรับสาเหตุของการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่เกิดความรุนแรง และทำให้คาดว่าการเมืองไทยคงจะไม่มีเสถียรภาพในระยะเวลาสั้นๆ

ทั้งนี้ การลดอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลไทยต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในการระดมเงินในรูปสกุลเงินบาท เพื่อลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน และจะมีผลให้เอกชนมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น