พาต้าระบุการเมืองไทยวุ่นวาย ฉุดท่องเที่ยวฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่นๆ ขณะที่ภาพรวมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงโตต่อเนื่อง ปี 2554 ตัวเลขรวมแตะที่ 77 ล้านคน แนะทางรอดผู้ประกอบการเร่งหาตลาดใหม่ หันใช้ระบบไอทีเพื่อลดต้นทุนทางการตลาด ระบุระยะหนึ่งปีครึ่งจากนี้ยังคงใช้กลยุทธ์สาดสงครามหั่นราคาลง 20% ดูดนักท่องเที่ยว ขณะที่แอร์เอเชียถูกโปรขึ้นเป็นฮีโรแผนขยายการบินกู้วิกฤต
นายจอห์น เอ็ม โควโด้สกี้ ผู้อำนวยการ ศูนย์วางแผนกลยุทธ์ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก(พาต้า) เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจสถานการณ์การท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกของพาต้าประเมินได้ว่าในอีก 3 ปีจากนี้ไป (2552-2554)อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2554 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาในภูมิภาคนี้ 77 ล้านคน เพิ่มจากปี 2550 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 62.2 ล้านคน
เนื่องจากได้รับอานิสงส์จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.การขยายเส้นทางบินของสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอสต์แอร์ไลน์) โดยเฉพาะนโยบายธุรกิจของสายการบินแอร์เอเชีย ที่ยังคงเดินหน้าแผนการขยายเส้นทางบินภายในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวกันภายในภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้นและจำนวนมากขึ้น
2.การใช้กลยุทธ์สงครามราคา ที่ช่วยดึงดูดกำลังซื้อของผู้คนให้ออกมาเดินทางท่องเที่ยว โดยปัจจุบันผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าและบริการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย ต่างหันมาออกแคมเปญลดแจกแถม โดยการหั่นราคาลงเฉลี่ย 20% จากช่วงปกติ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง เพื่อต้องการดึงนักท่องเที่ยวจากในภูมิภาคและนอกภูมิภาคให้เข้ามาเดินทางท่องเที่ยว
3.พฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ลดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลก ตรงนี้ทำให้เดสติเนชั่นในภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นที่ต้องการสำหรับนักท่องเที่ยวจากยุโรป เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า ขณะที่คนในภูมิภาคเดียวกันก็เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศกันมากกว่าที่จะเดินทางระยะไกลออกไปนอกภูมิภาค
“แม้เกิดภาวะเศรษฐกิจแต่คนก็ยังเดินทางท่องเที่ยวเพียงแต่ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น หันมาใช้บริการสายการบินโลว์คอสต์ เคยนั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ ก็เปลี่ยนมาเป็นชั้นประหยัด การเปลี่ยนพฤติกรรมจากเคยพักโรงแรมระดับ 5-6 ดาว ก็มาพักโรงแรมระดับ 4 ดาว แต่จะเน้นที่ความสะอาด สะดวก และปลอดภัยมากกว่าความหรูหรา”
***การเมืองไทยฉุดท่องเที่ยวฟื้นช้า***
สำหรับประเทศไทย การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอาจจะช้ากว่าประเทศอื่น เพราะมีปัจจัยลบทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้จะมีสินค้าทางการท่องเที่ยวที่หลากหลาย สวยงาม คุ้มค่าเงิน แต่หากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ต่างประเทศต้องประกาศเตือนนักท่องเที่ยว หรือออกทราเวลวอนนิ่ง ทำให้บริษัทประกันภัยไม่คุ้มครองการเดินทาง ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวและทัวร์โอเปอเรเตอร์ ไม่กล้าที่จะขายประเทศไทย ส่วนประเทศอื่นๆ มีเพียงผลกระทบทางเศรษฐกิจเพียงปัญหาเดียว
อย่างไรก็ตามจากปัจจัยลบทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มีมากกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ จึงต้องการเสนอทางออกให้แก่ผู้ประกอบการไทยใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การมองหาตลาดใหม่เพื่อมาชดเชยตลาดที่หายไป ซึ่งตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตดีไม่อ่อนไหวต่อสถานการณ์การเมืองไทย ได้แก่ ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง และ ยุโรปตะวันออก 2.รักษาตลาดเก่า3.หันมาใช้บบเทคโนโลยีสารสนเทศ(ไอที) เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน การเพิ่มระบบการขายแบบออนไลน์ เข้าตรงถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่
ทั้งนี้ในปี 2551 จำนวนการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกรวม 924 ล้านคน แบ่งเป็นเดินทางเข้ามาในภูมิภาคเอเชียที่ 385 ล้านคนเติบโตต่อเนื่องทุกปี ที่เหลืออยู่ในภูมิภาคอื่น โดยพาต้าได้วิเคราะห์ว่าแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวในปี 2552-2554 ระบุว่าเฉพาะปี 2552 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในภูมิภาคเอชียแปซิฟิกเติบโต 3.5% ลดลงจากปี 2550 ที่เคยเติบโตจากปีก่อนหน้า 8.4% สาเหตุจากจำนวนนักท่องเที่ยว ยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มการเดินทางในเอเชียแปซิฟิกลดลง ส่วน ตลาดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ยังคงเดินทางเข้ามาเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นแต่เป็นจำนวนไม่มาก
นายจอห์น เอ็ม โควโด้สกี้ ผู้อำนวยการ ศูนย์วางแผนกลยุทธ์ สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก(พาต้า) เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจสถานการณ์การท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกของพาต้าประเมินได้ว่าในอีก 3 ปีจากนี้ไป (2552-2554)อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2554 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาในภูมิภาคนี้ 77 ล้านคน เพิ่มจากปี 2550 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 62.2 ล้านคน
เนื่องจากได้รับอานิสงส์จาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.การขยายเส้นทางบินของสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอสต์แอร์ไลน์) โดยเฉพาะนโยบายธุรกิจของสายการบินแอร์เอเชีย ที่ยังคงเดินหน้าแผนการขยายเส้นทางบินภายในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวกันภายในภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้นและจำนวนมากขึ้น
2.การใช้กลยุทธ์สงครามราคา ที่ช่วยดึงดูดกำลังซื้อของผู้คนให้ออกมาเดินทางท่องเที่ยว โดยปัจจุบันผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าและบริการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชีย ต่างหันมาออกแคมเปญลดแจกแถม โดยการหั่นราคาลงเฉลี่ย 20% จากช่วงปกติ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้จะยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง เพื่อต้องการดึงนักท่องเที่ยวจากในภูมิภาคและนอกภูมิภาคให้เข้ามาเดินทางท่องเที่ยว
3.พฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ลดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจโลก ตรงนี้ทำให้เดสติเนชั่นในภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นที่ต้องการสำหรับนักท่องเที่ยวจากยุโรป เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า ขณะที่คนในภูมิภาคเดียวกันก็เดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศกันมากกว่าที่จะเดินทางระยะไกลออกไปนอกภูมิภาค
“แม้เกิดภาวะเศรษฐกิจแต่คนก็ยังเดินทางท่องเที่ยวเพียงแต่ปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น หันมาใช้บริการสายการบินโลว์คอสต์ เคยนั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ ก็เปลี่ยนมาเป็นชั้นประหยัด การเปลี่ยนพฤติกรรมจากเคยพักโรงแรมระดับ 5-6 ดาว ก็มาพักโรงแรมระดับ 4 ดาว แต่จะเน้นที่ความสะอาด สะดวก และปลอดภัยมากกว่าความหรูหรา”
***การเมืองไทยฉุดท่องเที่ยวฟื้นช้า***
สำหรับประเทศไทย การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอาจจะช้ากว่าประเทศอื่น เพราะมีปัจจัยลบทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้จะมีสินค้าทางการท่องเที่ยวที่หลากหลาย สวยงาม คุ้มค่าเงิน แต่หากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้ต่างประเทศต้องประกาศเตือนนักท่องเที่ยว หรือออกทราเวลวอนนิ่ง ทำให้บริษัทประกันภัยไม่คุ้มครองการเดินทาง ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวและทัวร์โอเปอเรเตอร์ ไม่กล้าที่จะขายประเทศไทย ส่วนประเทศอื่นๆ มีเพียงผลกระทบทางเศรษฐกิจเพียงปัญหาเดียว
อย่างไรก็ตามจากปัจจัยลบทางการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มีมากกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ จึงต้องการเสนอทางออกให้แก่ผู้ประกอบการไทยใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การมองหาตลาดใหม่เพื่อมาชดเชยตลาดที่หายไป ซึ่งตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตดีไม่อ่อนไหวต่อสถานการณ์การเมืองไทย ได้แก่ ประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง และ ยุโรปตะวันออก 2.รักษาตลาดเก่า3.หันมาใช้บบเทคโนโลยีสารสนเทศ(ไอที) เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน การเพิ่มระบบการขายแบบออนไลน์ เข้าตรงถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่
ทั้งนี้ในปี 2551 จำนวนการเดินทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกรวม 924 ล้านคน แบ่งเป็นเดินทางเข้ามาในภูมิภาคเอเชียที่ 385 ล้านคนเติบโตต่อเนื่องทุกปี ที่เหลืออยู่ในภูมิภาคอื่น โดยพาต้าได้วิเคราะห์ว่าแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวในปี 2552-2554 ระบุว่าเฉพาะปี 2552 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในภูมิภาคเอชียแปซิฟิกเติบโต 3.5% ลดลงจากปี 2550 ที่เคยเติบโตจากปีก่อนหน้า 8.4% สาเหตุจากจำนวนนักท่องเที่ยว ยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มการเดินทางในเอเชียแปซิฟิกลดลง ส่วน ตลาดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ยังคงเดินทางเข้ามาเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นแต่เป็นจำนวนไม่มาก
