ผู้จัดการกองทุน ลุ้นดัชนีหุ้นไทย จบไตรมาสแรกหลุดฐาน 400 จุดหรือไม่ "นครหลวงไทย" ห่วงนักลงทุนแห่ขายคืนหน่วยลงทุนต่อเนื่อง บวกความกังวลเศรษฐกิจโลก กดดันดัชนีขยับลงไปถึง 380 จุด ด้าน "แมนูไฟล์" แนะแมงเม่า อย่าเพิ่งเทขายหุ้นเก็งกำไรระยะสั้น เก็บไว้รอรับเงินปันผลก่อน แต่อย่าคาดหวังสูงเท่าปีที่แล้ว เหตุบริษัทจดทะเบียนกำไรลดลงกว่า 10% ขณะที่ "เอสซีบีควอนท์" มองโอกาสดัชนีแย่ไปกว่านี้มีน้อย
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 1 ยังคงจะแกว่งตัวอยู่ในระดับนี้ โดยอยู่ที่ประมาณ 400-410 จุด แต่เนื่องจากขณะนี้มีนักลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 380 จุดก็เป็นได้ ทั้งนี้ อาจทำให้นักลงทุนเข้าไปซื้อหรือลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น ส่วนการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนเกิดความกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร อีกทั้งนักลงทุนยังคงเกิดความกังวลในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมายังไม่ได้ผลต่อระบบเศรษฐกิจมากนัก แต่หากมาตรการต่างๆได้ผลหรือมีการกระจายเข้าไปในระบบมากขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ก็น่าจะทำให้ภาพรวมข้างหน้าของตลาดหลักทรัพย์ดีขึ้น ไม่ติดลบเหมือนที่ผ่านมา
สำหรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ มองว่าในขณะนี้จะยังไม่กลับเข้ามาลงทุน เพราะยังคงเป็นห่วงในเรื่องสภาพคล่องทางของธนาคารต่างๆ กลัวว่ารัฐบาลจะเข้ามาควบคุมเหมือนสหรัฐอเมริกา จึงยังคงชะลอการลงทุนโดยการถือครองเงินสดไว้ก่อน
นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไตรมาส 1 โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 400 จุด ยังคงมีความเป็นไปได้ โดยดัชนีจะปรับตัวอยู่ที่ประมาณ 380-390 จุด ซึ่งมาจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในโลก เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกหรือข่าวดีเข้ามาเพื่อกระตุ้นให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งนักลงทุนยังต้องรอดูปัญหาที่เกิดขึ้นในยุโรป และยุโรปตะวันออกว่าจะมีแนวโน้มออกมาอย่างไร เพราะประเทศเหล่านี้กำลังเกิดวิกฤตทางการเงินเหมือนเช่นสหรับอเมริกา และต้องรอดูว่าจะได้รับผลรุนแรงมากเพียงใด จึงทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงหมดทุกประเทศ
ด้านการลงทุนในตลาดตราสารทุนของบริษัท จะต้องรอดูสถานการณ์การลงทุนไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2552 เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีข่าวดีหรือปัจจัยบวกเข้ามาเพื่อให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด มีแต่ข่าวร้ายเข้ามา โดยเราจะต้องรอดูว่าข่าวร้ายจะยาวไปถึงไหน
นายพนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไตรมาส 1 ของปีนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่น่าที่จะปรับตัวลดลงไปต่ำว่า 400 จุด โดยพิจารณาจากวอลุ่มการซื้อขายหุ้นในตลาดที่อยู่ที่ 5,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งหากวอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับดังกล่าว ตลาดจะยังคงแกว่งตัวอยู่ในช่วงแคบๆและแกว่งตัวอยู่ในระดับ 400-450 จุด แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างได้เปรียบตลาดหุ้นอื่น ในเรื่องของราคาหุ้นที่ถูกกว่าเพื่อนบ้าน และการลงทุนในหุ้นยังได้รับเงินปันผลที่ดีจากการลงทุน ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนลดน้อยลงด้วย
"ช่วงนี้ การลงทุนในตลาดหุ้น มีหลายๆบริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนบ้างแล้ว โดยนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในมือแล้ว อยากให้ถือหุ้นต่อไปอีกสักระยะเพื่อรอรับผลตอบแทนในรูปแบบของการจ่ายปันผลจไปก่อน" นายพนุกรกล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2552 ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหุ้นไม่ดีมากนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นยุโรป ที่ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี และพบว่าเศรษฐกิจจะยังอ่อนแออย่างต่อเนื่อง จากปัญหาสถาบันการเงินภายในประเทศ ที่ยังคงเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับลดลงของกลุ่มประเทศดังกล่าว มีผลต่อการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดลงตามดัชนีดาวน์โจนส์ แต่การลดลงจะไม่มากเท่าดัชนีดาวน์โจนส์ ซึ่งเป็นการปรับลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะเดียวกัน ปัญหาภาคสถาบันการเงินของไทยไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับที่สหรัฐได้รับ จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุนหุ้นนั้น ขณะนี้ ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ กำลังประเมินสถานการณ์ภาคเศรษฐกิจ การทำกำไรของบริษัทใหม่ๆ จากการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยผู้จัดการกองทุนได้นำตัวเลขของบริษัทต่างๆที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนมาประกอบพิจารณาไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคาหุ้น การจ่ายเงินปันผลว่าที่ผ่านมาเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้หรือไม่
"กองทุนจะไม่มีการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ โดยจะถือต่อเพื่อรอรับเงินปันผลจากผลประกอบการของบริษัทในปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่แล้วในช่วงครึ่งปีแรก เศรษฐกิจปรับตัวดีบริษัทต่างๆมีผลการดำเนินงานที่ดี ทำให้ผลประกอบการของบริษัทที่ออกมาค่อนข้างดีก่อนงเจอวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจ่ายปันผลที่จะได้รับปรับตัวดีไปด้วย แต่ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลจากปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าปีนี้จะสามารถจ่ายปันผลได้ดีเหมือนเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จะทำให้บริษัทเหล่านี้มีกำไรลดลงกว่าร้อยละ 10 จากปีที่ผ่านมา" นายพนุกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายพนุกร ได้แนะนำเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นว่า หากเศรษฐกิจยังคงย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง และยาวนานกว่าที่คิด ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่คิดว่ายังคงอยู่รอดจากวิกฤตครั้งนี้ โดยเป็นบริษัทที่แข็งแรง มีเงินสดเพียงพอใช้จ่าย สภาพคล่องของบริษัทมีสูง และที่สำคัญบริษัทเหล่านี้ ควรจะผ่านจุดนี้ไปได้เป็นหลัก เนื่องจากกลัวว่า บริษัทที่เข้าไปลงทุนจะเป็นเหมือนสหรัฐอเมริกา ที่มีการปรับลดพนักงาน หรือบริษัทได้ปิดตัวลง
นายอรุณศักดิ์ จรูญวงศ์นิรมล ผู้อำนวยการสายงานจัดการกองทุน บลจ. เอสซีบี ควอนท์ กล่าวถึงการสังเกตุตลาดหุ้นในระยะนี้พบว่า ตลาดหุ้นยังคงวิ่งอยู่ในช่วงแคบๆมาสักระยะหนึ่ง โดยดัชนีหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 420-450 จุด ทำให้แนวโน้มที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับลดลงต่ำกว่า 400 จุดมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย
"ตอนนี้การลงทุนในตลาดหุ้นนักลงทุนเน้นการลงทุนระยะสั้นๆมากกว่าระยะยาว คือซื้อมาพอได้กำไรนิดหน่อยก็ขายออก จึงทำให้ตลาดหุ้นค่อนข้างที่จะผันผวน อีกทั้งวอลุ่มการซื้อขายหุ้นก็น้อยตามไปด้วย โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นในไตรมาส 1 น่าจะแกว่งตัวอยู่ที่ 420-430 จุด ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ หากนักลงทุนติดตามข่าวสารและดูจากทางเทคนิคอลแล้ว"นายอรุณศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายอรุณศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่แล้วไม่ควรที่จะขายออก เพราะโอกาสค่อนข้างน้อยที่ตลาดหุ้นจะแย่ยิ่งกว่านี้ ซึ่งหากนักลงทุนที่มีเงินสดอยู่ให้ติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด และต้องคอยติดตามพฤติกรรมตลาดว่าเป็นอย่างไร นักลงทุนต่างชาติหยุดเทขายหุ้นแล้วหรือไม่ อีกทั้งจะต้องจับจังหวะการลงทุนให้ดี และทยอยซื้อหน่วยลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 1 ยังคงจะแกว่งตัวอยู่ในระดับนี้ โดยอยู่ที่ประมาณ 400-410 จุด แต่เนื่องจากขณะนี้มีนักลงทุนขายคืนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 380 จุดก็เป็นได้ ทั้งนี้ อาจทำให้นักลงทุนเข้าไปซื้อหรือลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น ส่วนการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนเกิดความกังวลเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร อีกทั้งนักลงทุนยังคงเกิดความกังวลในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมายังไม่ได้ผลต่อระบบเศรษฐกิจมากนัก แต่หากมาตรการต่างๆได้ผลหรือมีการกระจายเข้าไปในระบบมากขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ก็น่าจะทำให้ภาพรวมข้างหน้าของตลาดหลักทรัพย์ดีขึ้น ไม่ติดลบเหมือนที่ผ่านมา
สำหรับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ มองว่าในขณะนี้จะยังไม่กลับเข้ามาลงทุน เพราะยังคงเป็นห่วงในเรื่องสภาพคล่องทางของธนาคารต่างๆ กลัวว่ารัฐบาลจะเข้ามาควบคุมเหมือนสหรัฐอเมริกา จึงยังคงชะลอการลงทุนโดยการถือครองเงินสดไว้ก่อน
นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไตรมาส 1 โอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 400 จุด ยังคงมีความเป็นไปได้ โดยดัชนีจะปรับตัวอยู่ที่ประมาณ 380-390 จุด ซึ่งมาจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในโลก เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกหรือข่าวดีเข้ามาเพื่อกระตุ้นให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งนักลงทุนยังต้องรอดูปัญหาที่เกิดขึ้นในยุโรป และยุโรปตะวันออกว่าจะมีแนวโน้มออกมาอย่างไร เพราะประเทศเหล่านี้กำลังเกิดวิกฤตทางการเงินเหมือนเช่นสหรับอเมริกา และต้องรอดูว่าจะได้รับผลรุนแรงมากเพียงใด จึงทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงหมดทุกประเทศ
ด้านการลงทุนในตลาดตราสารทุนของบริษัท จะต้องรอดูสถานการณ์การลงทุนไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2552 เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีข่าวดีหรือปัจจัยบวกเข้ามาเพื่อให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด มีแต่ข่าวร้ายเข้ามา โดยเราจะต้องรอดูว่าข่าวร้ายจะยาวไปถึงไหน
นายพนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดหุ้นไตรมาส 1 ของปีนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่น่าที่จะปรับตัวลดลงไปต่ำว่า 400 จุด โดยพิจารณาจากวอลุ่มการซื้อขายหุ้นในตลาดที่อยู่ที่ 5,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งหากวอลุ่มการซื้อขายอยู่ในระดับดังกล่าว ตลาดจะยังคงแกว่งตัวอยู่ในช่วงแคบๆและแกว่งตัวอยู่ในระดับ 400-450 จุด แต่อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างได้เปรียบตลาดหุ้นอื่น ในเรื่องของราคาหุ้นที่ถูกกว่าเพื่อนบ้าน และการลงทุนในหุ้นยังได้รับเงินปันผลที่ดีจากการลงทุน ทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนลดน้อยลงด้วย
"ช่วงนี้ การลงทุนในตลาดหุ้น มีหลายๆบริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่นักลงทุนบ้างแล้ว โดยนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่ในมือแล้ว อยากให้ถือหุ้นต่อไปอีกสักระยะเพื่อรอรับผลตอบแทนในรูปแบบของการจ่ายปันผลจไปก่อน" นายพนุกรกล่าว
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2552 ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหุ้นไม่ดีมากนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ตลาดหุ้นยุโรป ที่ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี และพบว่าเศรษฐกิจจะยังอ่อนแออย่างต่อเนื่อง จากปัญหาสถาบันการเงินภายในประเทศ ที่ยังคงเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับลดลงของกลุ่มประเทศดังกล่าว มีผลต่อการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดลงตามดัชนีดาวน์โจนส์ แต่การลดลงจะไม่มากเท่าดัชนีดาวน์โจนส์ ซึ่งเป็นการปรับลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะเดียวกัน ปัญหาภาคสถาบันการเงินของไทยไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับที่สหรัฐได้รับ จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างดีกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น หรือการลงทุนในกองทุนหุ้นนั้น ขณะนี้ ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ กำลังประเมินสถานการณ์ภาคเศรษฐกิจ การทำกำไรของบริษัทใหม่ๆ จากการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยผู้จัดการกองทุนได้นำตัวเลขของบริษัทต่างๆที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนมาประกอบพิจารณาไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคาหุ้น การจ่ายเงินปันผลว่าที่ผ่านมาเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ไว้หรือไม่
"กองทุนจะไม่มีการปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ โดยจะถือต่อเพื่อรอรับเงินปันผลจากผลประกอบการของบริษัทในปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่แล้วในช่วงครึ่งปีแรก เศรษฐกิจปรับตัวดีบริษัทต่างๆมีผลการดำเนินงานที่ดี ทำให้ผลประกอบการของบริษัทที่ออกมาค่อนข้างดีก่อนงเจอวิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลให้การจ่ายปันผลที่จะได้รับปรับตัวดีไปด้วย แต่ทั้งนี้ การลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลจากปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าปีนี้จะสามารถจ่ายปันผลได้ดีเหมือนเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น จะทำให้บริษัทเหล่านี้มีกำไรลดลงกว่าร้อยละ 10 จากปีที่ผ่านมา" นายพนุกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายพนุกร ได้แนะนำเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นว่า หากเศรษฐกิจยังคงย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง และยาวนานกว่าที่คิด ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่คิดว่ายังคงอยู่รอดจากวิกฤตครั้งนี้ โดยเป็นบริษัทที่แข็งแรง มีเงินสดเพียงพอใช้จ่าย สภาพคล่องของบริษัทมีสูง และที่สำคัญบริษัทเหล่านี้ ควรจะผ่านจุดนี้ไปได้เป็นหลัก เนื่องจากกลัวว่า บริษัทที่เข้าไปลงทุนจะเป็นเหมือนสหรัฐอเมริกา ที่มีการปรับลดพนักงาน หรือบริษัทได้ปิดตัวลง
นายอรุณศักดิ์ จรูญวงศ์นิรมล ผู้อำนวยการสายงานจัดการกองทุน บลจ. เอสซีบี ควอนท์ กล่าวถึงการสังเกตุตลาดหุ้นในระยะนี้พบว่า ตลาดหุ้นยังคงวิ่งอยู่ในช่วงแคบๆมาสักระยะหนึ่ง โดยดัชนีหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 420-450 จุด ทำให้แนวโน้มที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับลดลงต่ำกว่า 400 จุดมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย
"ตอนนี้การลงทุนในตลาดหุ้นนักลงทุนเน้นการลงทุนระยะสั้นๆมากกว่าระยะยาว คือซื้อมาพอได้กำไรนิดหน่อยก็ขายออก จึงทำให้ตลาดหุ้นค่อนข้างที่จะผันผวน อีกทั้งวอลุ่มการซื้อขายหุ้นก็น้อยตามไปด้วย โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นในไตรมาส 1 น่าจะแกว่งตัวอยู่ที่ 420-430 จุด ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ หากนักลงทุนติดตามข่าวสารและดูจากทางเทคนิคอลแล้ว"นายอรุณศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายอรุณศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่แล้วไม่ควรที่จะขายออก เพราะโอกาสค่อนข้างน้อยที่ตลาดหุ้นจะแย่ยิ่งกว่านี้ ซึ่งหากนักลงทุนที่มีเงินสดอยู่ให้ติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด และต้องคอยติดตามพฤติกรรมตลาดว่าเป็นอย่างไร นักลงทุนต่างชาติหยุดเทขายหุ้นแล้วหรือไม่ อีกทั้งจะต้องจับจังหวะการลงทุนให้ดี และทยอยซื้อหน่วยลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้