บิ๊กซี หวั่นเศรษฐกิจ ปีนี้ขอลงทุนแบบระมัดระวังใช้เพียง 1,000 ล้านบาท ตามแผนเปิดเพียง 1 สาขา พร้อมโฟกัสเม็ดเงินทำตลาดมากกว่าปีก่อน มุ่งกระตุ้นกำลังซื้อ จับฐานสมาชิกไว้มั่น เปิดตัวเฮาส์แบรนด์เพิ่ม หวังโต 6-10% จากปีก่อน ทำได้ 9.2% ขยายสาขากว่า 12 สาขา เผยกลยุทธ์ดึงเช็ค 2,000บาท ใจปล้ำเพิ่มแวลูเช็คให้อีก 25%
นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจในปีนี้ ยอมรับว่า ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ทางบิ๊กซีเองจึงต้องมีการระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่การลงทุน ปีนี้จึงใช้เงินลงทุนเพียง 1,000 ล้านบาท ในการขยายสาขาและปรับปรุงสาขาเดิม ซึ่งปีนี้ตามแผนมีการขยายสาขาเพียง 1 สาขา คือ ศรีสะเกษ ในรูปแบบคอมเพล็กซ์ ลงทุน 350-400 ล้านบาท และหากครึ่งปีหลังแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น ทางบริษัทก็พร้อมที่จะพิจารณาเปิดสาขาเพิ่ม แต่ขณะนี้ต้องขอดูสถานการณ์ไปก่อน
“จากเดิมปีก่อนขยายสาขาถึง 12 สาขา จะเห็นว่า ปีนี้บริษัทค่อนข้างระมัดระวัง มีการลงทุนเพียง 1 สาขา เพราะมองว่าปีนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ค่อยแน่นอน จึงต้องระมัดระวังในการลงทุน ลดการพึ่งพาแบงก์ รวมถึงต้องมีการบริหารกระแสเงินสดให้ดี มีจำนวนมากพอ หากจะต้องนำมาใช้เพื่อการลงทุนต่อไป”
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บีกซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของกลยุทธ์ทางการตลาดจะใช้งบประมาณมากกว่าปีก่อน 6% วางยุทธ์ศาสตร์ไว้ 3 ด้าน คือ ราคา, การซื้อสินค้าอย่างมีความสุข และความเป็นไทย ภายใต้นโยบาย 4 ด้าน คือ 1.Modernizing 2.More Store Format 3.Loyalty Development และ 4.House brand /Big C Brand คาดว่าจะส่งผลให้ปลายปี 2552 นี้ บริษัทฯจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 6-10% จากยอดขาย 67,292 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
กล่าวคือ ในส่วนของ Loyalty Development ปีนี้จะเน้นกลุ่มฐานลูกค้าสมาชิก มีการทำบัตรสมาชิกเพิ่ม ซึ่งจากเดิมสิ้นปี 2551 ที่ผ่านมา มีฐานสมาชิกกว่า 1.7 ล้านคน ปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นอีกราว 6-7 แสนคน จะมีทั้งโปรโมชั่น รวมถึงไดเรกเมล ซึ่งเฉลี่ยยอดการใช้จ่ายแต่ละครั้งของฐานสมาชิกอยู่ที่ 1,000 บาท สูงจากลูกค้าทั่วไปที่ใช้ 700 บาทต่อครั้ง
ส่วนเรื่องของ HouseBrand จากเดิมปลายปีที่ผ่านมา เปิดตัวเฮาส์แบรนด์ Big C พบว่า ส่งผลให้การเติบโตของสินค้าเฮาส์แบรนด์ 50% จากรายการสินค้ากว่า 800 รายการ สิ้นปีคาดว่าจะมีถึง 1,000 รายการ ปีนี้ได้เพิ่มอีก 1 แบรนด์ คือ “แฮปปี้บาท” ภายใต้แนวคิด ราคาประหยัดมากขึ้น ราคาถูกกว่าท้องตลาด 40% เป็นกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค และอาหารสด ขณะนี้มีกว่า 80 รายการ สิ้นปีคาดว่าจะเพิ่มเป็น 200 รายการ มั่นใจว่า จะเป็นอีก 1 เฮาส์แบรนด์ที่จะช่วยผลักดันให้ยอดขายของกลุ่มเฮาส์แบรนด์เติบโตขึ้นได้อีก 30%ในปลายปีนี้ ซึ่งเฮาส์แบรนด์คิดเป็น 3% ของยอดขายสินค้าทั้งหมด ใน 3 ปี คาดว่า จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 5%
นางสาวจริยา กล่าวต่อว่า ปีนี้ภาพรวมค้าปลีกจะมีการทำตลาดไม่ต่างจากปีก่อน ขณะที่ บิ๊กซีเตรียมโปรโมชันรองรับหลายรายการ โดยเฉพาะในเรื่องของโครงการช่วยเหลือผู้ประกันตนที่มีรายได้น้อย กับเช็คมูลค่า 2,000 บาท ทางบิ๊กซีก้ได้เตรียมกลยุทธ์รองรับไว้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้อีก 25% จากมูลค่า 2,000 บาท ในเช็ค นอกจากนี้ ยังจัดโปรโมชันพิเศษ กระตุ้นให้ผู้บริโภคนำเช็คมาใช้จ่ายในบิ๊กซีอีกส่วนด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในปี 2551 บิ๊กซีมียอดขายโตจากปี 2550 ที่ 9.2% คิดเป็นมูลค่า 67,292 ล้านบาท มาจากการขยายสาขาเป็นหลัก ขณะที่กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 14% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,852 ล้านบาท โดยกำไรส่วนใหญ่มาจากการให้เช่าพื้นที่จากร้านค้าพาร์ทเนอร์ต่างๆ
นางสาวรำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจในปีนี้ ยอมรับว่า ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ทางบิ๊กซีเองจึงต้องมีการระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่การลงทุน ปีนี้จึงใช้เงินลงทุนเพียง 1,000 ล้านบาท ในการขยายสาขาและปรับปรุงสาขาเดิม ซึ่งปีนี้ตามแผนมีการขยายสาขาเพียง 1 สาขา คือ ศรีสะเกษ ในรูปแบบคอมเพล็กซ์ ลงทุน 350-400 ล้านบาท และหากครึ่งปีหลังแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น ทางบริษัทก็พร้อมที่จะพิจารณาเปิดสาขาเพิ่ม แต่ขณะนี้ต้องขอดูสถานการณ์ไปก่อน
“จากเดิมปีก่อนขยายสาขาถึง 12 สาขา จะเห็นว่า ปีนี้บริษัทค่อนข้างระมัดระวัง มีการลงทุนเพียง 1 สาขา เพราะมองว่าปีนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่ค่อยแน่นอน จึงต้องระมัดระวังในการลงทุน ลดการพึ่งพาแบงก์ รวมถึงต้องมีการบริหารกระแสเงินสดให้ดี มีจำนวนมากพอ หากจะต้องนำมาใช้เพื่อการลงทุนต่อไป”
นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บีกซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของกลยุทธ์ทางการตลาดจะใช้งบประมาณมากกว่าปีก่อน 6% วางยุทธ์ศาสตร์ไว้ 3 ด้าน คือ ราคา, การซื้อสินค้าอย่างมีความสุข และความเป็นไทย ภายใต้นโยบาย 4 ด้าน คือ 1.Modernizing 2.More Store Format 3.Loyalty Development และ 4.House brand /Big C Brand คาดว่าจะส่งผลให้ปลายปี 2552 นี้ บริษัทฯจะมีรายได้เติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 6-10% จากยอดขาย 67,292 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา
กล่าวคือ ในส่วนของ Loyalty Development ปีนี้จะเน้นกลุ่มฐานลูกค้าสมาชิก มีการทำบัตรสมาชิกเพิ่ม ซึ่งจากเดิมสิ้นปี 2551 ที่ผ่านมา มีฐานสมาชิกกว่า 1.7 ล้านคน ปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นอีกราว 6-7 แสนคน จะมีทั้งโปรโมชั่น รวมถึงไดเรกเมล ซึ่งเฉลี่ยยอดการใช้จ่ายแต่ละครั้งของฐานสมาชิกอยู่ที่ 1,000 บาท สูงจากลูกค้าทั่วไปที่ใช้ 700 บาทต่อครั้ง
ส่วนเรื่องของ HouseBrand จากเดิมปลายปีที่ผ่านมา เปิดตัวเฮาส์แบรนด์ Big C พบว่า ส่งผลให้การเติบโตของสินค้าเฮาส์แบรนด์ 50% จากรายการสินค้ากว่า 800 รายการ สิ้นปีคาดว่าจะมีถึง 1,000 รายการ ปีนี้ได้เพิ่มอีก 1 แบรนด์ คือ “แฮปปี้บาท” ภายใต้แนวคิด ราคาประหยัดมากขึ้น ราคาถูกกว่าท้องตลาด 40% เป็นกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค และอาหารสด ขณะนี้มีกว่า 80 รายการ สิ้นปีคาดว่าจะเพิ่มเป็น 200 รายการ มั่นใจว่า จะเป็นอีก 1 เฮาส์แบรนด์ที่จะช่วยผลักดันให้ยอดขายของกลุ่มเฮาส์แบรนด์เติบโตขึ้นได้อีก 30%ในปลายปีนี้ ซึ่งเฮาส์แบรนด์คิดเป็น 3% ของยอดขายสินค้าทั้งหมด ใน 3 ปี คาดว่า จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 5%
นางสาวจริยา กล่าวต่อว่า ปีนี้ภาพรวมค้าปลีกจะมีการทำตลาดไม่ต่างจากปีก่อน ขณะที่ บิ๊กซีเตรียมโปรโมชันรองรับหลายรายการ โดยเฉพาะในเรื่องของโครงการช่วยเหลือผู้ประกันตนที่มีรายได้น้อย กับเช็คมูลค่า 2,000 บาท ทางบิ๊กซีก้ได้เตรียมกลยุทธ์รองรับไว้เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้อีก 25% จากมูลค่า 2,000 บาท ในเช็ค นอกจากนี้ ยังจัดโปรโมชันพิเศษ กระตุ้นให้ผู้บริโภคนำเช็คมาใช้จ่ายในบิ๊กซีอีกส่วนด้วย
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในปี 2551 บิ๊กซีมียอดขายโตจากปี 2550 ที่ 9.2% คิดเป็นมูลค่า 67,292 ล้านบาท มาจากการขยายสาขาเป็นหลัก ขณะที่กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 14% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,852 ล้านบาท โดยกำไรส่วนใหญ่มาจากการให้เช่าพื้นที่จากร้านค้าพาร์ทเนอร์ต่างๆ