ธปท.ยอมรับ จีดีพีไตรมาส 4 ปี 51 ที่ติดลบร้อยละ 4.3 ต่ำกว่าที่คาดไว้ เตรียมนำเข้าหารือที่ประชุม กนง. วันที่ 25 ก.พ.นี้ ส่วนการเปลี่ยนทุนสำรองเป็นทางคำเพิ่มขึ้น ตามทิศทางธนาคารกลางทั่วโลก ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ในไตรมาส 4 ปี 2551 ที่ขยายตัวติดลบร้อยละ 4.3 นั้น เป็นระดับต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 0-2 ซึ่ง ธปท.จะนำข้อมูลดังกล่าวไปหารือในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 นี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถประเมินได้ว่าเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นได้เมื่อใด เพราะไม่รู้ว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดสิ้นสุดได้เมื่อใด เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ยังไม่นิ่งพอ
“ความไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะสิ้นสุดลงเมื่อใดนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย แต่เราติดตามสถานการณ์เพื่อให้รู้เร็ว และเท่าทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และต้องคิดสถานการณ์หลายด้านเผื่อไว้” นางอัจนา กล่าว
ส่วนกรณีธนาคารกลางประเทศต่างๆ พากันปรับลดสัดส่วนการถือครองเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในทุนสำรองระหว่างประเทศ และหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นนั้น นางอัจนา กล่าวว่า ธปท.ไม่สามารถบอกได้ว่า ธปท.นำทุนสำรองไปลงทุนในสินทรัพย์ใด และในสัดส่วนเท่าใด เพราะเป็นเรื่องไม่ควรเปิดเผย ซึ่งการบริหารเงินสำรองมีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาวแตกต่างกันไป โดยการดูแลเงินสำรองของ ธปท.นั้น จะเน้นรักษามูลค่ามากกว่าการมุ่งหาผลกำไร ดังนั้น ในยามที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและมีความเสี่ยงมากเช่นนี้ การบริหารสินทรัพย์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ในไตรมาส 4 ปี 2551 ที่ขยายตัวติดลบร้อยละ 4.3 นั้น เป็นระดับต่ำกว่าที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 0-2 ซึ่ง ธปท.จะนำข้อมูลดังกล่าวไปหารือในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 นี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถประเมินได้ว่าเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นได้เมื่อใด เพราะไม่รู้ว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะถึงจุดสิ้นสุดได้เมื่อใด เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ยังไม่นิ่งพอ
“ความไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะสิ้นสุดลงเมื่อใดนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทำอะไรเลย แต่เราติดตามสถานการณ์เพื่อให้รู้เร็ว และเท่าทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และต้องคิดสถานการณ์หลายด้านเผื่อไว้” นางอัจนา กล่าว
ส่วนกรณีธนาคารกลางประเทศต่างๆ พากันปรับลดสัดส่วนการถือครองเงินสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ในทุนสำรองระหว่างประเทศ และหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นนั้น นางอัจนา กล่าวว่า ธปท.ไม่สามารถบอกได้ว่า ธปท.นำทุนสำรองไปลงทุนในสินทรัพย์ใด และในสัดส่วนเท่าใด เพราะเป็นเรื่องไม่ควรเปิดเผย ซึ่งการบริหารเงินสำรองมีทั้งแผนระยะสั้นและระยะยาวแตกต่างกันไป โดยการดูแลเงินสำรองของ ธปท.นั้น จะเน้นรักษามูลค่ามากกว่าการมุ่งหาผลกำไร ดังนั้น ในยามที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและมีความเสี่ยงมากเช่นนี้ การบริหารสินทรัพย์เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
