xs
xsm
sm
md
lg

ฉายภาพสถานการณ์ตื่นทองปี 52 ราคายิ่งสูง ต้องระวังความผันผวน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ฉายภาพการลงทุนทองคำปี 52 ผลตอบแทนยังดี แต่ต้องระวังความผันผวน พร้อมเตือนนักลงทุนรายย่อย ควรระมัดระวังการเก็งกำไรในระยะสั้น และควรศึกษาถึงปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ ทั้งภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และราคาน้ำมัน

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เผยรายงานการลงทุนเกี่ยวกับทองคำในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่า ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากคาดการณ์แนวโน้มราคาอาจปรับขึ้นได้อีกในระยะข้างหน้า แต่เตือนให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง เนื่องจากยังคงเผชิญกับความผันผวน

รายงานยังระบุว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่นักลงทุนให้ความสนใจค่อนข้างมากในฐานะเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยและเพื่อสะสมความมั่งคั่ง การลงทุนเกี่ยวกับทองคำให้อัตราผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ

โดยพบว่า ในปี 2551 ที่ผ่านมา การลงทุนในทองคำให้อัตราผลตอบแทนประมาณ 5.41% และปี 2550 สร้างอัตราผลตอบแทนสูงถึง 30.94% ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น

เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552 วานนี้ ราคาทองคำแท่งในตลาดโลกปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 973.85 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากราคาปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 2 เดือนของปี 2552 ที่ระดับ 984.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 10.65% ขณะที่ราคาทองคำแท่งของไทยก็ปรับตัวขึ้นไปสูงถึงบาทละ 16,150 บาทเลยทีเดียว

ประชาชนค่อนข้างให้ความสนใจกับการลงทุนในทองคำอย่างเห็นได้ชัด จังหวะที่ราคาทองคำดิ่งลงไปมากก็จะเป็นช่วงที่นักลงทุนรายย่อยมีความต้องการซื้อทองคำในระดับที่สูงมากจนร้านขายทองต้องออกใบจองให้แก่ลูกค้าไว้ก่อน เนื่องจากสตอกทองคำมีไม่เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และในจังหวะที่ราคาทองคำทะยานขึ้นไปสูงก็จะเป็นช่วงที่ประชาชนแห่ขายทองเพื่อสร้างผลกำไรเป็นจำนวนมาก

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ยังมองว่า การลงทุนในทองคำน่าจะได้รับแรงหนุนต่อไป เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง ซึ่งคาดว่านักลงทุนจะยังให้น้ำหนักการลงทุนกับสินทรัพย์ประเภทนี้กันต่อไป แต่ท่ามกลางความผันผวนของตลาดเงินตลาดทุนโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง นักลงทุนคงต้องระมัดระวังเพราะการลงทุนมีความเสี่ยง และจะต้องติดตามปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาทองคำในระยะต่อไปข้างหน้า

สำหรับปัจจัยระยะสั้น ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกที่ยังขาดความชัดเจน โดยเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะการชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งคงจะเป็นปัจจัยกดดันต่อความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และส่งผลให้นักลงทุนโยกเงินไปยังแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยกว่า เช่น ทองคำ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ และเงินเยน

ดังนั้น หากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มมีสัญญาณในเชิงบวกมากขึ้น และตลาดมองว่าภาวะวิกฤตต่างๆ ได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว ก็อาจจะทำให้นักลงทุนเริ่มหันไปสนใจในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ที่มองว่าราคาได้ปรับลงมามากแล้ว เช่น หุ้นในตลาดต่างๆ ทั่วโลก

นอกจากนี้ นักลงทุนต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านสภาพคล่องของการซื้อขายทองคำ โดยเฉพาะเมื่อมีผู้มีเงินออมหันมานิยมสะสมเงินออมในรูปทองคำมากขึ้นกว่าอดีตมากจนส่งผลกระทบต่อปริมาณทองคำที่หมุนเวียน ตลอดจนความสามารถในการรับซื้อ-ขายทองคำของร้านค้าทอง โดยเฉพาะช่วงที่ราคาผันผวนค่อนข้างสูงในปัจจุบัน

ส่วนปัจจัยระยะยาวนั้น คงจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับแนวโน้มเงินเฟ้ออันเป็นผลจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของรัฐบาลต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อตามมาในอนาคต ดังนั้นนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากการเกิดภาวะเงินเฟ้อในระดับสูง อาจจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในทองคำมากขึ้น

นอกจากนี้ จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ต่อทองคำเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ ในอนาคต แต่อุปทานของทองคำกลับมีอยู่อย่างจำกัดก็น่าจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาทองคำเติบโตไปในระยะยาวได้

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เตือนว่า การลงทุนในทองคำคงต้องอาศัยความระมัดระวัง เนื่องจากราคาทองคำยังคงเผชิญกับความผันผวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนรายย่อยที่ควรให้ความระมัดระวังกับการเก็งกำไรในระยะสั้น และควรศึกษาถึงปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก ทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดจนราคาน้ำมัน ฯลฯ เพื่อจะสามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาทองคำให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และได้ผลตอบแทนระยะยาวที่คุ้มค่าในอนาคต
กำลังโหลดความคิดเห็น