คอลัมน์ตลาดทุนไทยในสายตาต่างชาติ
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
เปิดตัวได้ไม่ค่อยสวยนักกับ Gold Futures สำหรับจำนวนสัญญาที่มีการซื้อขายกัน ณ วันแรก ก็คงเหมือนกับ SET50 INDEX Futures ในช่วงแรกๆ ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 6 เดือน ถึงจะเข้าที่เข้าทาง ซึ่งหมายถึง เริ่มมีคนซื้อ-ขาย กันหนาตามากขึ้น แต่อาจจะได้เห็นสภาพคล่องที่สูงขึ้น หากโบรกเกอร์ที่มีจากผู้ค้าทอง เปิดตัวเข้าตลาดฯ ในเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ (ตามความรู้สึก ไม่น่าจะทัน)
การเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Gold Futures นั้น อาจเป็นเหมือนดาบสองคม สำหรับนักลงทุน ทั้งที่ลงทุนอยู่ในตลาดฟิวเจอร์สอยู่แล้ว และที่ลงทุนโดยการซื้อทองคำแท่ง สำหรับเก็งกำไร (ลงทุน) อันเนื่องมาจาก รูปแบบ และวิธีในการทำกำไรของกลุ่มคนทั้งสองกลุ่มนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อันเนื่องมาจาก นักลงทุนกลุ่มแรก ที่ลงทุนอยู่ในตลาดฟิวเจอร์สอยู่แล้วนั้น ค่อนข้างมีความเข้าใจในตัวสินค้า ความเสี่ยง และการขายตัดขาดทุน (Stop loss) เป็นอย่างดี ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนที่ซื้อทองคำแท่ง เพื่อการเก็งกำไร โดยไปซื้อจากแหล่งขายทอง ที่เชื่อถือได้ที่มีขนาดใหญ่ เช่น เยาวราช ในช่วงที่ทองคำมีราคาปรับตัวลดลง และนำไปขายในช่วงที่ทองคำ มีการปรับตัวสูงขึ้น เช่น ช่วงตรุษจีน ที่ผ่านมา (ปกติตรุษจีน จะเห็นมีแต่คนไปซื้อทองคำ แต่ช่วงหลังกลับเป็นการนำไปขายแทน นั่นหมายถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อ จากเดิม ซื้อเพื่อเป็นของกำนัล หรือใช้ประดับตกแตก เปลี่ยนเป็นการเก็งกำไรแทน) นักลงทุนในกลุ่มนี้ มีความรู้สึกว่า เมื่อจ่ายเงินไป ก็ได้ทองคำกลับมาอยู่กับตัว ถึงแม้ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงกว่าราคาที่ซื้อไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกขาดทุนมีมากนัก อันเนื่องมาจาก “ทองคำ” ก็คือ “ทองคำ” ซึ่งมีค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว ตามความรู้สึกของนักลงทุน แต่ถ้าเปลี่ยนมาซื้อ-ขาย สัญญาล่วงหน้า จะได้ความรู้สึกคนละแบบกัน เพราะถ้าเข้าถือสัญญาผิดทาง นั่นหมายความว่า จะเกิดการสูญเสียเงินลงทุน โดยไม่ได้มีอะไรกำอยู่ในมือเลยแม้แต่อย่างเดียว นั่นทำให้รูปแบบและวิธีการในการลงทุนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามผลักดันสินค้าตัวใหม่ออกมา แต่ไม่ได้ให้ความรู้ในวงกว้าง แก่นักลงทุนอย่างเพียงพอ อาจทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่ง (ค่อนข้างมาก) ที่เข้าใจผิด หลงเข้าไปลงทุนโดยไม่รู้ตัว จนทำให้ขาดทุนโดยไม่รู้ตัวได้เหมือนกัน ผมอยากให้ลองจินตนาการว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ บ้านเรา เปิดห้องให้นักลงทุน ทุกคนเข้าไปเยี่ยมชม โดยไม่จำกัด อายุ เพศ วุฒิการศึกษา แต่เนื่องจากห้องนั้นใหญ่มากๆ จนทำให้เจ้าหน้าที่ ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง บังเอิญ มีคนกลุ่มหนึ่งที่มีผลประโยชน์ในการชักจูงคนเข้ามาในห้องนี้ (ได้ค่าคอมฯ) ก็ไปชักจูงเด็กๆ ที่ยังไม่รู้ อิโหน่ อิเหน่ อะไรสักอย่างเข้ามาด้วย จากนั้นก็จับเด็กน้อย มานั่งที่เก้าอี้ และบอกว่า ทำอย่างโน้นน่ะ ทำอย่างนี้น่ะ (โดยคนที่ชวนมา ก็ไม่รู้ว่า อะไรถูก อะไรผิดเหมือนกัน) จากนั้นเด็กน้อยเหล่านั้น ก็พยายามทำตาม โดยมีเงื่อนไขว่า “ทำถูกจะให้เงิน แต่ทำผิด ต้องเสียเงิน” (ความน่าจะเป็น คือ 50:50) จากนั้นถ้าเด็กคนนั้นทำผิดบ่อยๆ จนหมดเงิน คนเหล่านั้น ก็จะไปชักชวนเด็กๆ คนอื่น มาเล่นเกมส์นี้ต่อไป จนกว่าจะไม่มีเด็กอีกต่อไป เพราะเด็กเหล่านั้น ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเรียนรู้เองว่า ตัวเองเหมาะหรือไม่ ที่จะเข้ามา เก็งกำไร (ไม่ใช่ลงทุน) ในตลาดนี้หรือไม่
การทำตลาดกับสินค้าที่ก้ำกึ่ง ที่ดูเหมือนจะมีความใกล้เคียงกับสินค้าเดิม แต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในทางพฤติกรรมนั้น ค่อนข้างอันตราย เพราะที่ผ่านมา ตลาดฯ พยายามที่จะเบี่ยงเบนข้อมูลต่อสาธารณะว่า เป็นการลงทุน ทั้งที่จริงๆ แล้ว เป็นการเก็งกำไร (แทงถูกได้ แทงผิดเสีย)
แต่ข้อดีของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ก็ยังมีอยู่มากมาย ถ้านักลงทุนมีความเข้าใจ เช่น ตามหลักของการลงทุน ทุกคนย่อมต้องการซื้อถูก และขายแพง เพื่อที่จะสะท้อนถึง ความต้องการที่แท้จริงตามธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริง กลไกตลาดในบ้านเรา กลับไม่เป็นเช่นนั้น อันเนื่องมาจาก กลไกในการตั้งราคา ที่มีการบวกกำไรมากเกินไป จนทำให้ผู้ลงทุนเสียเปรียบ อันเนื่องมาจากกลไลตลาดที่มีการผูกขาดอยู่ ณ ปัจจุบัน
จากรูปจะเห็นได้ชัดเจนว่า ราคาของสมาคมฯ สำหรับขายให้กับรายย่อย (เส้นทึบสีน้ำเงิน) กับราคาทองคำในตลาดโลก (เส้นประสีแดง) มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะราคาในตลาดบ้านเรา ที่ถูกกำหนดโดยสมาคมฯ ไม่ปรับตัวไปตามกลไลตลาดโลก (โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ เห็นชัดเจน) ทำให้นักลงทุนเสียเปรียบ ในทั้งราคาซื้อ และราคาขาย และอีกส่วนหนึ่งที่เห็นอย่างเด่นชัดคือ ราคาทองคำที่เขียนด้วยดินสอพอง หน้าร้านทองนั้น ถูกกำหนดโดย ผู้ประกอบการณ์รายใหญ่เพียงแค่ ไม่กี่ราย และถ้าลองสังเกตกันดีๆ จะเห็นว่า ค่า Premium จะแปลผันตาม Demand ของจำนวนผู้ซื้อด้วย เช่น ถ้าผู้ค้า เห็นว่า วันนี้จะมีคนเข้ามาซื้อเยอะ ก็จะเพิ่มค่า Premium เข้าไปอีก แต่ถ้าคาดว่า ปริมาณการซื้อขายจะน้อย ก็จะลดค่า Premium ลง เพื่อกระตุ้นให้เกิดปริมาณการซื้อขาย เพิ่มขึ้นเป็นต้น
นักลงทุนคงพอที่จะเข้าใจกลไกตลาดของการซื้อขายทองคำในบ้านเราเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสั่งซื้อหนังสือ “Gold Futures ฉบับนักเก็งกำไร” ก็ยังคงสั่งซื้อได้ที่หมายเลข 02 627 3360-2 ในราคา 150 บาท (ยังไม่ร่วมค่าจัดส่งทั่วประเทศ 30 บาท) เหมือนเดิมครับ
โดย บริษัท เน็กซ์วิว (ประเทศไทย) จำกัด
เปิดตัวได้ไม่ค่อยสวยนักกับ Gold Futures สำหรับจำนวนสัญญาที่มีการซื้อขายกัน ณ วันแรก ก็คงเหมือนกับ SET50 INDEX Futures ในช่วงแรกๆ ที่ต้องใช้เวลาประมาณ 3 ถึง 6 เดือน ถึงจะเข้าที่เข้าทาง ซึ่งหมายถึง เริ่มมีคนซื้อ-ขาย กันหนาตามากขึ้น แต่อาจจะได้เห็นสภาพคล่องที่สูงขึ้น หากโบรกเกอร์ที่มีจากผู้ค้าทอง เปิดตัวเข้าตลาดฯ ในเดือนมีนาคม ที่จะถึงนี้ (ตามความรู้สึก ไม่น่าจะทัน)
การเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น Gold Futures นั้น อาจเป็นเหมือนดาบสองคม สำหรับนักลงทุน ทั้งที่ลงทุนอยู่ในตลาดฟิวเจอร์สอยู่แล้ว และที่ลงทุนโดยการซื้อทองคำแท่ง สำหรับเก็งกำไร (ลงทุน) อันเนื่องมาจาก รูปแบบ และวิธีในการทำกำไรของกลุ่มคนทั้งสองกลุ่มนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อันเนื่องมาจาก นักลงทุนกลุ่มแรก ที่ลงทุนอยู่ในตลาดฟิวเจอร์สอยู่แล้วนั้น ค่อนข้างมีความเข้าใจในตัวสินค้า ความเสี่ยง และการขายตัดขาดทุน (Stop loss) เป็นอย่างดี ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนที่ซื้อทองคำแท่ง เพื่อการเก็งกำไร โดยไปซื้อจากแหล่งขายทอง ที่เชื่อถือได้ที่มีขนาดใหญ่ เช่น เยาวราช ในช่วงที่ทองคำมีราคาปรับตัวลดลง และนำไปขายในช่วงที่ทองคำ มีการปรับตัวสูงขึ้น เช่น ช่วงตรุษจีน ที่ผ่านมา (ปกติตรุษจีน จะเห็นมีแต่คนไปซื้อทองคำ แต่ช่วงหลังกลับเป็นการนำไปขายแทน นั่นหมายถึงพฤติกรรมของผู้ซื้อ จากเดิม ซื้อเพื่อเป็นของกำนัล หรือใช้ประดับตกแตก เปลี่ยนเป็นการเก็งกำไรแทน) นักลงทุนในกลุ่มนี้ มีความรู้สึกว่า เมื่อจ่ายเงินไป ก็ได้ทองคำกลับมาอยู่กับตัว ถึงแม้ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงกว่าราคาที่ซื้อไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกขาดทุนมีมากนัก อันเนื่องมาจาก “ทองคำ” ก็คือ “ทองคำ” ซึ่งมีค่าในตัวของมันเองอยู่แล้ว ตามความรู้สึกของนักลงทุน แต่ถ้าเปลี่ยนมาซื้อ-ขาย สัญญาล่วงหน้า จะได้ความรู้สึกคนละแบบกัน เพราะถ้าเข้าถือสัญญาผิดทาง นั่นหมายความว่า จะเกิดการสูญเสียเงินลงทุน โดยไม่ได้มีอะไรกำอยู่ในมือเลยแม้แต่อย่างเดียว นั่นทำให้รูปแบบและวิธีการในการลงทุนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามผลักดันสินค้าตัวใหม่ออกมา แต่ไม่ได้ให้ความรู้ในวงกว้าง แก่นักลงทุนอย่างเพียงพอ อาจทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่ง (ค่อนข้างมาก) ที่เข้าใจผิด หลงเข้าไปลงทุนโดยไม่รู้ตัว จนทำให้ขาดทุนโดยไม่รู้ตัวได้เหมือนกัน ผมอยากให้ลองจินตนาการว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ บ้านเรา เปิดห้องให้นักลงทุน ทุกคนเข้าไปเยี่ยมชม โดยไม่จำกัด อายุ เพศ วุฒิการศึกษา แต่เนื่องจากห้องนั้นใหญ่มากๆ จนทำให้เจ้าหน้าที่ ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง บังเอิญ มีคนกลุ่มหนึ่งที่มีผลประโยชน์ในการชักจูงคนเข้ามาในห้องนี้ (ได้ค่าคอมฯ) ก็ไปชักจูงเด็กๆ ที่ยังไม่รู้ อิโหน่ อิเหน่ อะไรสักอย่างเข้ามาด้วย จากนั้นก็จับเด็กน้อย มานั่งที่เก้าอี้ และบอกว่า ทำอย่างโน้นน่ะ ทำอย่างนี้น่ะ (โดยคนที่ชวนมา ก็ไม่รู้ว่า อะไรถูก อะไรผิดเหมือนกัน) จากนั้นเด็กน้อยเหล่านั้น ก็พยายามทำตาม โดยมีเงื่อนไขว่า “ทำถูกจะให้เงิน แต่ทำผิด ต้องเสียเงิน” (ความน่าจะเป็น คือ 50:50) จากนั้นถ้าเด็กคนนั้นทำผิดบ่อยๆ จนหมดเงิน คนเหล่านั้น ก็จะไปชักชวนเด็กๆ คนอื่น มาเล่นเกมส์นี้ต่อไป จนกว่าจะไม่มีเด็กอีกต่อไป เพราะเด็กเหล่านั้น ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และเรียนรู้เองว่า ตัวเองเหมาะหรือไม่ ที่จะเข้ามา เก็งกำไร (ไม่ใช่ลงทุน) ในตลาดนี้หรือไม่
การทำตลาดกับสินค้าที่ก้ำกึ่ง ที่ดูเหมือนจะมีความใกล้เคียงกับสินค้าเดิม แต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในทางพฤติกรรมนั้น ค่อนข้างอันตราย เพราะที่ผ่านมา ตลาดฯ พยายามที่จะเบี่ยงเบนข้อมูลต่อสาธารณะว่า เป็นการลงทุน ทั้งที่จริงๆ แล้ว เป็นการเก็งกำไร (แทงถูกได้ แทงผิดเสีย)
แต่ข้อดีของผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ก็ยังมีอยู่มากมาย ถ้านักลงทุนมีความเข้าใจ เช่น ตามหลักของการลงทุน ทุกคนย่อมต้องการซื้อถูก และขายแพง เพื่อที่จะสะท้อนถึง ความต้องการที่แท้จริงตามธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริง กลไกตลาดในบ้านเรา กลับไม่เป็นเช่นนั้น อันเนื่องมาจาก กลไกในการตั้งราคา ที่มีการบวกกำไรมากเกินไป จนทำให้ผู้ลงทุนเสียเปรียบ อันเนื่องมาจากกลไลตลาดที่มีการผูกขาดอยู่ ณ ปัจจุบัน
จากรูปจะเห็นได้ชัดเจนว่า ราคาของสมาคมฯ สำหรับขายให้กับรายย่อย (เส้นทึบสีน้ำเงิน) กับราคาทองคำในตลาดโลก (เส้นประสีแดง) มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะราคาในตลาดบ้านเรา ที่ถูกกำหนดโดยสมาคมฯ ไม่ปรับตัวไปตามกลไลตลาดโลก (โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ เห็นชัดเจน) ทำให้นักลงทุนเสียเปรียบ ในทั้งราคาซื้อ และราคาขาย และอีกส่วนหนึ่งที่เห็นอย่างเด่นชัดคือ ราคาทองคำที่เขียนด้วยดินสอพอง หน้าร้านทองนั้น ถูกกำหนดโดย ผู้ประกอบการณ์รายใหญ่เพียงแค่ ไม่กี่ราย และถ้าลองสังเกตกันดีๆ จะเห็นว่า ค่า Premium จะแปลผันตาม Demand ของจำนวนผู้ซื้อด้วย เช่น ถ้าผู้ค้า เห็นว่า วันนี้จะมีคนเข้ามาซื้อเยอะ ก็จะเพิ่มค่า Premium เข้าไปอีก แต่ถ้าคาดว่า ปริมาณการซื้อขายจะน้อย ก็จะลดค่า Premium ลง เพื่อกระตุ้นให้เกิดปริมาณการซื้อขาย เพิ่มขึ้นเป็นต้น
นักลงทุนคงพอที่จะเข้าใจกลไกตลาดของการซื้อขายทองคำในบ้านเราเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสั่งซื้อหนังสือ “Gold Futures ฉบับนักเก็งกำไร” ก็ยังคงสั่งซื้อได้ที่หมายเลข 02 627 3360-2 ในราคา 150 บาท (ยังไม่ร่วมค่าจัดส่งทั่วประเทศ 30 บาท) เหมือนเดิมครับ