ดีเอสไอเตือนภัยแก๊งหลอกลวงซื้อขายทองคำล่วงหน้า พฤติการณ์กระทำความผิดไม่ได้แตกต่างจากแชร์น้ำมัน ล่าสุดมีเหยื่อออกมาร้องทุกข์ว่าสูญเงินไปแล้วกว่า 1 ล้านบาท เพียงเพราะหลงเชื่อว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูง ล่าสุดเตรียมรุดประสานสถานีตำรวจในหลายที่เพื่อรวบรวมข้อมูล จำนวนผู้เสียหาย และมูลค่าเงินที่โดนตุ๋นให้เข้าเกณฑ์ 20 ล้านบาทก่อนถึงจะเริ่มจัดการแก๊งค์มิจฉาชีพได้
วานนี้(8 ก.พ.) พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า หลังจาก ดีเอสไอ ได้ทำการสืบสวนจับกุมผู้ที่กระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่มาตั้งแต่กลางปี 2550 ไม่ว่าจะเป็นแชร์ข้าวสาร แชร์ก๋วยเตี๋ยว แชร์ยางพารา และแชร์น้ำมัน โดยดีเอสไอจับกุมดำเนินคดีเรื่อยมา ล่าสุดพบว่าคดีแชร์เกิดขึ้นทั้งหมดประมาณ 33 คดี ส่งฟ้องไปแล้วประมาณ 15 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล และจะสรุปสำนวนภายในเร็วๆนี้ อีกประมาณ 4-5 คดี นอกจากนี้ยังได้ประเมินมูลค่าความเสียหาย 1,300 ล้านบาทเศษ จับกุมผู้ต้องหา 126 ราย มีผู้เสียหายมาพบพนักงานสอบสวนแล้วประมาณกว่า 6,000 คน
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจขณะนี้พบว่ามีการหลอกลวงซื้อขายทองคำล่วงหน้าโดยพฤติกรรมคือจะมีการชักชวนให้ทำธุรกิจเก็งกำไรซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศ แล้วมีการหลอกลวงให้ผู้ลงทุนหลงเชื่อว่ามีความมั่นคง มีผลตอบแทนสูงโดยใช้วิธีการให้ลูกค้านำเงินมาลงทุนไว้ แล้วบริษัทจะตัดสินใจในการเทรดดิ้งสั่งซื้อทองคำ ซึ่งจะเห็นว่ามีพฤติการณ์กระทำความผิดไม่ได้แตกต่างจากแชร์น้ำมัน แต่ก็พบว่ายังมีนักลงทุนหลายรายหลงเชื่อคิดว่าบริษัทมีความน่าเชื่อถือให้ผลตอบแทนสูง โดยให้ผลตอบแทนกำไรจากหุ้นหุ้นละ 150 บาท ทำให้มีผู้เสียหายรายหนึ่งเข้ามาร้องเรียนกับดีเอสไอ ว่าถูกหลอกหลวงในเล่นแชร์ทองคำ สูญเสียเงินไป 1 ล้านกว่าบาท
นอกจากนี้ ผู้เสียหายบางรายได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ปากเกร็ด โดยดีเอสไอได้ประสานกับ สภ.ปากเกร็ด เพื่อตรวจสอบว่ามีผู้เสียหายจำนวนเท่าใด เพราะคดีที่ดีเอสไอมีอำนาจนั้นจะต้องมีผู้เสียหายอย่างน้อย 50 ราย หรือมูลค่าความเสียหาย 20 ล้านบาท อย่างหนึ่งอย่างใด
ทั้งนี้ เพราะลักษณะแผนประทุษกรรมดังกล่าวคล้ายกับการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศ คือเจ้าหน้าที่ต้องไปตรวจสอบว่าบริษัทที่กระทำความผิดได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)หรือไม่ เป็นสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ในประเทศไทยหรือไม่ และมีการนำเงินไปลงทุนในการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าตามที่กล่าวอ้างหรือไม่
“คิดว่ามีอีกหลายคดี จากหลายบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาแล้วผิดกฎหมาย ถามว่าประชาชนจะรู้หรือไม่ ว่าบริษัทได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายและเป็นสมาชิกตลาดอนุพันธ์ซื้อขายล่วงหน้า และส่งคำขอหรือเงินสั่งซื้อไปต่างประเทศหรือไม่ เชื่อว่าประชาชนไม่มีสิทธิ์รู้เลย แต่กรณีแชร์น้ำมันที่เราตรวจสอบพบว่าไม่ได้ทำธุรกิจจริง เป็นการหลอกลวง แต่นำธุรกิจนั้นมาบังหน้า อาศัยช่องว่างกฎหมายฉบับอื่นมากระทำผิด นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตหลอกให้คนมาซื้อขายสินค้าบนอินเตอร์เน็ท เช่นหลอกให้คนนำเงินมาลงทุนเกี่ยวกับแบนเนอร์ (Banner) ติดป้ายโฆษณาต่างๆ หลอกว่าจะให้ผลตอบแทนในราคาสูง หรือการเช่าพื้นที่บนอินเตอร์เน็ทแล้วให้บริษัทต่างๆ เช่าต่อ อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า10 เท่า โดยจะได้รับค่าแนะนำสมาชิกหรือค่านายหน้า เพื่อดึงดูดประชาชนให้หลงเชื่อได้ง่าย ซึ่งจะมีการพัฒนารูปแบบไปเรื่อยๆ เพราะแทบจะไม่ต้องลงทุนในการตั้งบริษัทเลย เพียงเช่าพื้นที่ว่างบนเว็บไซต์แล้วทำโฆษณาขายสินค้า โดยจ้างโปรแกรมเมอร์เขียนเว็บไซต์ก็ได้ หรือกระทำความผิดแชร์ลูกโซ่แล้วเข้าไปแอบแฝงในธุรกิจที่ถูกกฎหมาย” ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอกล่าวย้ำ
วานนี้(8 ก.พ.) พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า หลังจาก ดีเอสไอ ได้ทำการสืบสวนจับกุมผู้ที่กระทำความผิดในลักษณะแชร์ลูกโซ่มาตั้งแต่กลางปี 2550 ไม่ว่าจะเป็นแชร์ข้าวสาร แชร์ก๋วยเตี๋ยว แชร์ยางพารา และแชร์น้ำมัน โดยดีเอสไอจับกุมดำเนินคดีเรื่อยมา ล่าสุดพบว่าคดีแชร์เกิดขึ้นทั้งหมดประมาณ 33 คดี ส่งฟ้องไปแล้วประมาณ 15 คดี อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล และจะสรุปสำนวนภายในเร็วๆนี้ อีกประมาณ 4-5 คดี นอกจากนี้ยังได้ประเมินมูลค่าความเสียหาย 1,300 ล้านบาทเศษ จับกุมผู้ต้องหา 126 ราย มีผู้เสียหายมาพบพนักงานสอบสวนแล้วประมาณกว่า 6,000 คน
อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจขณะนี้พบว่ามีการหลอกลวงซื้อขายทองคำล่วงหน้าโดยพฤติกรรมคือจะมีการชักชวนให้ทำธุรกิจเก็งกำไรซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศ แล้วมีการหลอกลวงให้ผู้ลงทุนหลงเชื่อว่ามีความมั่นคง มีผลตอบแทนสูงโดยใช้วิธีการให้ลูกค้านำเงินมาลงทุนไว้ แล้วบริษัทจะตัดสินใจในการเทรดดิ้งสั่งซื้อทองคำ ซึ่งจะเห็นว่ามีพฤติการณ์กระทำความผิดไม่ได้แตกต่างจากแชร์น้ำมัน แต่ก็พบว่ายังมีนักลงทุนหลายรายหลงเชื่อคิดว่าบริษัทมีความน่าเชื่อถือให้ผลตอบแทนสูง โดยให้ผลตอบแทนกำไรจากหุ้นหุ้นละ 150 บาท ทำให้มีผู้เสียหายรายหนึ่งเข้ามาร้องเรียนกับดีเอสไอ ว่าถูกหลอกหลวงในเล่นแชร์ทองคำ สูญเสียเงินไป 1 ล้านกว่าบาท
นอกจากนี้ ผู้เสียหายบางรายได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.ปากเกร็ด โดยดีเอสไอได้ประสานกับ สภ.ปากเกร็ด เพื่อตรวจสอบว่ามีผู้เสียหายจำนวนเท่าใด เพราะคดีที่ดีเอสไอมีอำนาจนั้นจะต้องมีผู้เสียหายอย่างน้อย 50 ราย หรือมูลค่าความเสียหาย 20 ล้านบาท อย่างหนึ่งอย่างใด
ทั้งนี้ เพราะลักษณะแผนประทุษกรรมดังกล่าวคล้ายกับการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าในตลาดต่างประเทศ คือเจ้าหน้าที่ต้องไปตรวจสอบว่าบริษัทที่กระทำความผิดได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)หรือไม่ เป็นสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ในประเทศไทยหรือไม่ และมีการนำเงินไปลงทุนในการซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าตามที่กล่าวอ้างหรือไม่
“คิดว่ามีอีกหลายคดี จากหลายบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาแล้วผิดกฎหมาย ถามว่าประชาชนจะรู้หรือไม่ ว่าบริษัทได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายและเป็นสมาชิกตลาดอนุพันธ์ซื้อขายล่วงหน้า และส่งคำขอหรือเงินสั่งซื้อไปต่างประเทศหรือไม่ เชื่อว่าประชาชนไม่มีสิทธิ์รู้เลย แต่กรณีแชร์น้ำมันที่เราตรวจสอบพบว่าไม่ได้ทำธุรกิจจริง เป็นการหลอกลวง แต่นำธุรกิจนั้นมาบังหน้า อาศัยช่องว่างกฎหมายฉบับอื่นมากระทำผิด นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตหลอกให้คนมาซื้อขายสินค้าบนอินเตอร์เน็ท เช่นหลอกให้คนนำเงินมาลงทุนเกี่ยวกับแบนเนอร์ (Banner) ติดป้ายโฆษณาต่างๆ หลอกว่าจะให้ผลตอบแทนในราคาสูง หรือการเช่าพื้นที่บนอินเตอร์เน็ทแล้วให้บริษัทต่างๆ เช่าต่อ อ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า10 เท่า โดยจะได้รับค่าแนะนำสมาชิกหรือค่านายหน้า เพื่อดึงดูดประชาชนให้หลงเชื่อได้ง่าย ซึ่งจะมีการพัฒนารูปแบบไปเรื่อยๆ เพราะแทบจะไม่ต้องลงทุนในการตั้งบริษัทเลย เพียงเช่าพื้นที่ว่างบนเว็บไซต์แล้วทำโฆษณาขายสินค้า โดยจ้างโปรแกรมเมอร์เขียนเว็บไซต์ก็ได้ หรือกระทำความผิดแชร์ลูกโซ่แล้วเข้าไปแอบแฝงในธุรกิจที่ถูกกฎหมาย” ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ ดีเอสไอกล่าวย้ำ