รมช.คลัง หนุนจัดประชุมอาเซียน ที่ภูเก็ต เพื่อโปรโมตท่องเที่ยว ป้องกันกลุ่มเสื้อแดงก่อเหตุ หวังทำลายภาพลักษณ์ประเทศ “มาร์ค” ลั่นย้ายไป “หัวหิน” เพื่อรักษาหน้าตาประเทศ-เรียกความเชื่อมั่น แนะข้าราชการไม่ควรทำตัวรับใช้นักการเมือง ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เพราะมีสถานะเป็นข้าราชการของพระเจ้าอยู่หัว “ภาคเอกชน” สวดทาสไข่แม้ว โชว์อันธพาล ถือเป็นการแสดงความโง่ออกไปทั่วโลก พร้อมตำหนิ “ทักษิณ” ขี้ตู่นโยบายคลังเป็นสมบัติส่วนตัว ตั้งชื่อ ประชานิยม เพราะใจแคบกลัวรัฐบาลอื่นนำไปใช้
วันนี้ (07 มกราคม 2552) นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวแสดงความเห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะย้ายสถานที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (อาเซียนซัมมิต) จากกรุงเทพฯ ไปที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อป้องกันการประท้วงที่จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย พร้อมเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตด้วย อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ที่จะตัดสินใจ แต่เชื่อว่า ผู้เกี่ยวข้องหลายคนเห็นด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลตัดสินใจที่จะย้ายสถานที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ไปที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความสงบเรียบร้อย จากก่อนหน้านี้ รัฐบาลคาดว่าจะจัดการประชุมดังกล่าวขึ้นที่กรุงเทพฯ
ทั้งนี้ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลชุดก่อน ประกาศที่จะเคลื่อนไหวคัดค้านการจัดประชุมดังกล่าว โดยอ้างความไม่ชอบธรรมที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่ประเทศไทย เป็นประธานอาเซียน และมีหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน อยากให้ถือว่า งานนี้ไม่ใช่งานของรัฐบาล แต่เป็นงานของคนไทยทั้งประเทศ เป็นหน้าเป็นตาของคนไทยทั้งประเทศ ทุกคนต้องช่วยกันทำความเข้าใจกับคนของเรา ว่า การจัดประชุมให้เกิดผลสำเร็จประโยชน์จะตกอยู่กับหน้าตา ศักดิ์ศรีและความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลมีหน้าที่เร่งทำงาน และพยายามเดินหน้าเต็มที่ เพื่อที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา เพื่อให้สถานะของประเทศไทยทั้งในภูมิภาคและในสายตาของชาวโลกได้รับการยอมรับอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาอื่นได้เป็นอย่างดี
สำหรับปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่ในขณะนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเองอยากให้ข้าราชการและหัวหน้าส่วนราชการทั้งหลาย ต้องไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เพราะท่านคือกลไกที่จะนำนโยบายในทางการบริหารของรัฐบาลไปปฏิบัติ แต่ถ้าคิดว่า การสั่งการของรัฐบาลในเรื่องใดเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งไม่ว่าจะมาจากรัฐมนตรี หรือฝ่ายการเมืองคนใดก็ตามก็ขอให้ร้องเรียนมาที่ตน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนเองต้องการให้การทำงานของข้าราชการจากนี้ไปยืนยันสถานะ ว่า ข้าราชการของเรา คือ ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สนองนโยบายของรัฐบาล ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการบริการราชการแผ่นดิน ไม่มีหน้าที่มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งถ้าทำอย่างนี้เราก็จะขีดวงความขัดแย้งให้จำกัดอยู่ในวงการเมือง และแนวปฏิบัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลที่เป็นองค์กรภาคส่วนต่างๆ ในสังคม
นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ สมาชิกสภาหอการค้า กล่าวตำหนิกรณีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศจะเดินทางไปชุมนุมปิดล้อมการประชุมอาเชียนซัมมิต ถือว่าไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะเป็นการเอาการเมืองเข้าไปยุ่งกับเรื่องหน้าตาของประเทศ พร้อมมองว่า ขณะนี้การเมืองไทยเดินทางมาสู่ระบบประชาธิปไตยแล้ว น่าจะให้โอกาสรัฐบาลมีเวลาทำงาน
ดังนั้น การที่คนเสื้อแดงประกาศจะไปปิดล้อมการประชุมอาเซียนซัมมิต ถือว่าเป็นการแสดงออกถึงสัญลักษณ์ของคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่คนละฝ่ายกับรัฐบาล และจะไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย
สำหรับเหตุผลที่ระบุว่า เป็นการต่อต้าน รมว.ต่างประเทศ ซึ่งเคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ นายทวิสันต์ ระบุว่า เป็นเหตุผลที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเวทีพันธมิตรฯ เป็นเวทีภาคประชาชน ใครที่มีความคิดเห็นก็แสดงออกได้ หากคนเสื้อแดงจะไปปิดล้อมการประชุมระดับนานาชาติจริง ต้องพึงระวังด้วยว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของตัวเองเสื่อมลง อาจทำให้สูญเสียแนวร่วมและไม่เกิดประโยชน์ทางการเมือง ควรเสนอข้อมูลให้พรรคฝ่ายค้านนำไปอภิปรายในสภาจะดีกว่า
สำหรับนโนบายที่เรียกว่า นโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น นายทวิสันต์ กล่าวว่า นโยบายทั้งหมดไม่อยากเรียกว่านโยบายประชานิยม เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลทั้งหมดทุกยุคทุกสมัย เป็นการนำเงินงบประมาณที่ได้จากภาษีของประชาชนไปใช้พัฒนาประเทศ ซึ่งมีแต่ในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกนโยบายของรัฐบาลว่านโยบายประชานิยม
ทั้งนี้ หากรัฐบาลต่อมานำนโยบายที่มีอยู่มาใช้ จำเป็นด้วยหรือว่าจะต้องเรียกว่านโยบายประชานิยม เพราะภาคเอกชนมองว่า ยังไงก็ไม่เหมือนกัน ความหมายของนโยบายประชานิยมที่แท้จริง คือ การเสริมให้ประชาชนเกิดความเข้มแข็งและเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไป เช่น การนำเงินงบประมาณไปช่วยเกษตรกรให้ได้ใช้ปุ๋ยราคาที่ถูกลง
ดังนั้น การใช้นโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดปัจจุบัน สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุด คือ ต้องระวังเม็ดเงินในประเทศที่ลดน้อยลง รัฐมนตรีคลังต้องไตร่ตรองให้ดีในการนำเม็ดเงินของประเทศที่มีอยู่น้อยนิดมาใช้ ไม่ให้สูญเปล่าได้อย่างไร