“แบงก์ชาติ” ฝากความหวังรัฐบาลใช้นโยบายการคลัง แก้ปัญหาเศรษฐกิจ หลังอัตราดอกเบี้ยลงใกล้ 0% ทำให้ยากต่อการใช้เครื่องมือทางการเงิน หากไม่สามารถประกาศนโยบายต่อรัฐสภาได้ ศก.ไทยอาจสะดุดยาว ความเชื่อมั่นหดตัว-นักลงทุนเผ่นหนี
นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวยอมรับว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้ หากจะหวังใช้มาตรการด้านการเงินคงจะลำบาก เพราะทิศทางอัตราดอกเบี้ยลดลงใกล้ 0% คงต้องหวังพึ่งนโยบายด้านการคลัง หากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยังขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาล ก็จะส่งผลต่อการประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าได้
“ถ้ารัฐบาลไม่สามารถประกาศนโยบายไม่ได้ ก็จะทำให้การเมืองไม่มีเสถียรภาพ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน เพราะในปัจจุบันนโยบายการคลังมีความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากมีการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าจะกระทบความเชื่อมั่นของประชาชน ทำให้การอุปโภค การบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชนลดลง”
ส่วนการใช้นโยบายการเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนนั้น นางอัจนา ระบุว่า อาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ไม่มีความเชื่อมั่นกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ
ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลังเข้ามาช่วยเหลือ โดยเห็นว่ามาตรการที่นำมาใช้จะต้องเป็นมาตรการชั่วคราว และช่วยเหลือกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อน เช่น พนักงานที่ถูกเลิกจ้าง
ส่วนการที่รัฐบาลจะสานต่อ 6 มาตรการ 6 เดือน เพื่อประชาชนนั้น รัฐบาลควรที่จะช่วยประชาชนที่ตกงานและได้รับความเดือดร้อนจริง เพราะโครงการประชานิยมมีผลต่อเสถียรภาพทางการเมือง นอกจากนี้ เห็นว่า รัฐบาลควรยกเลิกการอุดหนุนภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเพื่อยกระดับราคาพืชผลเกษตร โดยเฉพาะปาล์มและอ้อย ให้มีราคาสูงขึ้น เพราะถ้ารัฐอุดหนุนต่อไป ทำให้ราคาพืชผลเกษตรที่ผลิตพลังงานทดแทนมีราคาตกต่ำ