เงินบาทอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี ที่ระดับ 35.12-35.14 บาทต่อดอลลาร์ โดยเปิดตลาดที่ระดับ 35.00-35.04 บาทต่อดอลลาร์ ธปท.ระบุ ค่าเงินบาทอ่อนตัวตามทิศทางค่าเงินในภูมิภาค แต่ยังมีเสถียรภาพ เพราะเงินทุนยังไหลเข้า ยันแบงก์พาณิชย์ปล่อยสินเชื่อตามปกติ แม้เศรษฐกิจชะลอตัว คาดตัวเลขทั้งระบบยังโตได้ 13% มันใจเอ็นพีแอลไม่น่าห่วง เตือนธนาคารพิจารณาสินเชื่อให้รอบคอบ หลังโรงงานเจ๊ง-การจ้างงานลด
วันนี้ ( 21 พ.ย.) นักบริหารเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 35.00-35.04 บาทต่อดอลลาร์ และล่าสุด เมื่อเวลา 09.30 น. อ่อนค่าลงไปอยู่ที่ระดับ 35.12-35.14 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าอ่อนค่าสุดในรอบ 2 ปี
ส่วนสกุลเงินต่างประเทศช่วงเปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 95.70-95.74 เยนต่อดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2516-1.2518 ดอลลาร์ต่อยูโร
ล่าสุด เมื่อคืนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือน ต.ค.51 พบว่าลดลง 1% เมื่อเทียบจากเดือน ก.ย.51 ถือว่าลดลงต่ำสุดในรอบ 60 ปี ทำให้นักลงทุนคาดว่าจะส่งผลกระทบมาถึงภาคการบริโภคและการค้าปลีกที่สถานการณ์อาจจะแย่ลงไป ซึ่ง 2 ตัวนี้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของสหรัฐฯ และทำให้มีแนวโน้มว่าการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในครั้งต่อไปจะง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเฟ้อ
"นักลงทุนมองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ จะกระทบไปทั่วโลก จึงคิดว่าการถือเงินสกุลไหนก็คงไม่ค่อยดี เท่ากับถือเงินดอลลาร์ เพราะปลอดภัยสุด ส่วนเงินเงินสกุลอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันและอาจจะแรงกว่า ขณะที่สหรัฐฯ ออกมาตรการไปเยอะแล้ว"
นักบริหารเงิน กล่าวแนวโน้มเงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่าลงได้อีก โดยวันนี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 35.05-35.15 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งจากสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ล่าสุดมีระเบิดในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนกลับมากังวลมากขึ้น
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ค่าเงินบาทในขณะนี้เคลื่อนไหวตามทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค โดยยังถือว่าค่าเงินบาทอ่อนค่าไม่มากนัก เนื่องมาจากยังคงมีเงินไหลเข้ามาในประเทศอยู่ ขณะที่การดูแลค่าเงินบาทนั้น ธปท.จะดูแลตามความจำเป็น
ส่วนการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับปกติและไม่ได้ลดน้อยลง แม้ว่าเศรษฐกิจจะส่งสัญญาณชะลอตัว โดยตัวเลขสินเชื่อทั้งระบบปัจจุบันยังขยายตัว 13% ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วงซึ่ง ธปท. ยังติดตามสถานการณ์อยู่
"ธนาคารยังคงปล่อยสินเชื่ออยู่เหมือนเดิม อย่าเอาความรู้สึกมาวัด ต้องดูที่ตัวเลขเป็นหลัก ซึ่งสินเชื่อก็ยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนกรณีการกู้ยืมนอกระบบนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีการหาสินเชื่อยากขึ้น ก็ต้องมีการกู้ยืมนอกระบบบ้าง"
ขณะเดียวกัน ธปท. ยังคงเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านธุรกิจเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังคงมีเงินหมุนเวียนถึง 3 แสนล้านบาท ซึ่งจะสามารถใช้ได้ถึงปี 2553-2554
ส่วนกรณีซอฟท์โลนใหม่ ธปท. เคยส่งให้กฤษฎีความตีความก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งธปท.ไม่สามารถปล่อยซอฟท์โลนได้ แต่ทางด้านรัฐมนตรีคลังได้ส่งให้กฤษฎีกาตีความอีกครั้ง ซึ่งระบุว่าหากเป็นการดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้นั้นก็สามารถทำได้ ทั้งนี้คณะกรรมการ ธปท. จะต้องพิจารณาประเด็นดังกล่าวอีกครั้งว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้หรือไม่
สำหรับกรณีการจ้างงานในอนาคตมีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง อย่างไรก็ตามต้องรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สภาพัฒน์ฯจะประกาศอีกครั้งในช่วงต้นสัปดาห์หน้า ซึ่งไม่อยากให้ประชาชนมีความกังวลจนมากเกินไป เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมาจากปัจจัยจากต่างประเทศ ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานในประเทศไทยนั้นมีความแตกต่างกับต่างประเทศมาก