“สยามแก๊ส” เล็งใช้แหล่งเงินทุนจากการเสนอขายหุ้นกู้ หรือกู้จากสถาบันการเงินในการทำเหมืองถ่านหิน 2 พันล้านบาท ชี้ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอส่งผลกระทบยอดขายแก๊สรถยนต์-อุตสาหกรรมชะลอตัว แต่มั่นใจรายได้ปีหน้าโตไม่ต่ำ 15% เหตุรับรู้รายได้เวียดนามยอดขายแอลพีจขยายตัวต่อเนื่อง ด้าน “ศุภชัย” เผย ล้มแผนซื้อหุ้นคืนเหตุราคาหุ้นยังสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี ก่อนปรับแผนนำเงินทุนไปขยายตลาดต่างประเทศหวังเป็นผู้ให้บริการพลังงานในแถบอินโดจีน
นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะใช้เงินลงทุนในการทำธุรกิจเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะใช้แหล่งเงินทุนจากการเสนอขายหุ้นกู้ หรือกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเข้าไปทำธุรกิจ หากบริษัทได้ข้อสรุปในการทำเหมืองถ่านหินนั้นจะมีอายุสัมปทาน 30 ปี โดยบริษัทมีแผนที่จะนำถ่านหินนำไปขายต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และ เกาหลี จากที่มีความต้องการสูง
ทั้งนี้ ใน 2552 โครงการที่มีความชัดเจนในขณะนี้ที่บริษัทจะลงทุนมี 2 โครงการ คือ การลงทุนในเวียดนามในการสร้างท่าเรือ คลังสินค้า และโรงบรรจุแก๊ส ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 400 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1/52 ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้บริษัทประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี และสามารถเริ่มรับรู้รายได้ประมาณครึ่งปีหลัง และการเปิดสถานีจำหน่ายแก๊ส (ปั๊ม) ในประเทศอีก 20 แห่ง เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยเงินที่ใช้ลงทุนนั้นจากการการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
สำหรับภาวะเศรษฐกิจปีหน้าที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯนั้น ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน สถาบันการเงินมีการปล่อยกู้ที่ยากขึ้นนั้น ย่อมส่งผลกระทบกับบริษัทในธุรกิจการจำหน่ายแก๊สในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจรถยนต์ ทำให้มีการเติบโตที่ลดลง แต่ในธุรกิจอาหารนั้นไม่ได้รับผลกระทบ และการที่บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจจากมองเป็นโอกาสในการทำธุรกิจในอนาคตจากเชื่อว่าเศรษฐกิจจะต้องมีการปรับตัวที่ดีขึ้น
นายศุภชัย กล่าวว่า สำหรับรายได้รวมปีหน้าเบื้องต้นบริษัท คาดว่า จะเพิ่มขึ้น 15% จากปี2551 ที่คาดว่า จะมีรายได้มูลค่า 2,000 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่แก๊ส LPG ที่เพิ่มขึ้น และรับรู้จากธุรกิจเอทานอลที่จะรับรู้รายได้ประมาณ 600 ล้านบาท จากกำลังการผลิต 1 แสนลิตรต่อปี และจากการับรายได้จากประเทศเวียดนามจากครึ่งแรกคาดว่าจะสร้างเสร็จและรับรู้ในช่วงครึ่งปีหลัง
“เบื้องต้นขณะนี้ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าประมาณ 15% แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะมากกว่า โดยบริษัทจะมีการสรุปแผนการดำเนินงานปีหน้า และตั้งเป้ารายได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเดิมปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้โต 20% แต่จากประเมินตอนนี้ยอดขายของบริษัทยังโตต่อเนื่อง เชื่อว่าไตรมาส4/51 ยังโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/51 ส่งผลให้รายได้ปีนี้โต 30% จากปี 2550 ที่มีรายได้ 1.49 พันล้านบาทซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทคาดว่าจะโต 20%” นายศุภชัย กล่าวว่า
นายศุภชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทศึกษาที่จะมีการซื้อหุ้นคืน และได้มีการเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณา แต่จากการที่ราคาหุ้นของบริษัทขณะนี้อยู่ที่ระดับ 4.90 บาท ซึ่งยังคงสูงกว่ามูลค่าตามบัญชีที่กว่า 3 บาทต่อหุ้น ทำให้บริษัทยังไม่สนใจที่จะเข้าไปซื้อหุ้นคืน และบริษัทมีโครงการหลายอย่างที่จะมีการลงทุน จึงยังไม่จำเป็นที่จะมีการซื้อหุ้นคืน โดยต้องการนำเงินไปลงทุนเพื่อที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มแก่นักลงทุนมากกว่า และบริษัทยืนยันว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีบริษัทจะยังคงจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%
“บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการให้บริการด้านพลังงานแถบอินโดจีน ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะขยายไปประเทศเวียดนาม กัมพูชา จีน และกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจพลังงาน จากที่ขยายไปยังธุรกิจเอทานอล แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน โรงไฟฟ้า ซึ่งในธุรกิจถ่านหินอยู่ระหว่างเจรจาที่ทำ แต่โรงไฟฟ้านั้นจะต้องใช้เวลา” นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัย วีรบวรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SGP เปิดเผยว่า บริษัทคาดจะใช้เงินลงทุนในการทำธุรกิจเหมืองถ่านหินที่ประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยจะใช้แหล่งเงินทุนจากการเสนอขายหุ้นกู้ หรือกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะเข้าไปทำธุรกิจ หากบริษัทได้ข้อสรุปในการทำเหมืองถ่านหินนั้นจะมีอายุสัมปทาน 30 ปี โดยบริษัทมีแผนที่จะนำถ่านหินนำไปขายต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และ เกาหลี จากที่มีความต้องการสูง
ทั้งนี้ ใน 2552 โครงการที่มีความชัดเจนในขณะนี้ที่บริษัทจะลงทุนมี 2 โครงการ คือ การลงทุนในเวียดนามในการสร้างท่าเรือ คลังสินค้า และโรงบรรจุแก๊ส ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 400 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1/52 ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้บริษัทประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี และสามารถเริ่มรับรู้รายได้ประมาณครึ่งปีหลัง และการเปิดสถานีจำหน่ายแก๊ส (ปั๊ม) ในประเทศอีก 20 แห่ง เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยเงินที่ใช้ลงทุนนั้นจากการการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
สำหรับภาวะเศรษฐกิจปีหน้าที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯนั้น ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของประชาชน สถาบันการเงินมีการปล่อยกู้ที่ยากขึ้นนั้น ย่อมส่งผลกระทบกับบริษัทในธุรกิจการจำหน่ายแก๊สในภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจรถยนต์ ทำให้มีการเติบโตที่ลดลง แต่ในธุรกิจอาหารนั้นไม่ได้รับผลกระทบ และการที่บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจจากมองเป็นโอกาสในการทำธุรกิจในอนาคตจากเชื่อว่าเศรษฐกิจจะต้องมีการปรับตัวที่ดีขึ้น
นายศุภชัย กล่าวว่า สำหรับรายได้รวมปีหน้าเบื้องต้นบริษัท คาดว่า จะเพิ่มขึ้น 15% จากปี2551 ที่คาดว่า จะมีรายได้มูลค่า 2,000 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่แก๊ส LPG ที่เพิ่มขึ้น และรับรู้จากธุรกิจเอทานอลที่จะรับรู้รายได้ประมาณ 600 ล้านบาท จากกำลังการผลิต 1 แสนลิตรต่อปี และจากการับรายได้จากประเทศเวียดนามจากครึ่งแรกคาดว่าจะสร้างเสร็จและรับรู้ในช่วงครึ่งปีหลัง
“เบื้องต้นขณะนี้ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าประมาณ 15% แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะมากกว่า โดยบริษัทจะมีการสรุปแผนการดำเนินงานปีหน้า และตั้งเป้ารายได้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งเดิมปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้โต 20% แต่จากประเมินตอนนี้ยอดขายของบริษัทยังโตต่อเนื่อง เชื่อว่าไตรมาส4/51 ยังโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3/51 ส่งผลให้รายได้ปีนี้โต 30% จากปี 2550 ที่มีรายได้ 1.49 พันล้านบาทซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทคาดว่าจะโต 20%” นายศุภชัย กล่าวว่า
นายศุภชัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ บริษัทศึกษาที่จะมีการซื้อหุ้นคืน และได้มีการเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณา แต่จากการที่ราคาหุ้นของบริษัทขณะนี้อยู่ที่ระดับ 4.90 บาท ซึ่งยังคงสูงกว่ามูลค่าตามบัญชีที่กว่า 3 บาทต่อหุ้น ทำให้บริษัทยังไม่สนใจที่จะเข้าไปซื้อหุ้นคืน และบริษัทมีโครงการหลายอย่างที่จะมีการลงทุน จึงยังไม่จำเป็นที่จะมีการซื้อหุ้นคืน โดยต้องการนำเงินไปลงทุนเพื่อที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มแก่นักลงทุนมากกว่า และบริษัทยืนยันว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจไม่ดีบริษัทจะยังคงจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%
“บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในการให้บริการด้านพลังงานแถบอินโดจีน ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะขยายไปประเทศเวียดนาม กัมพูชา จีน และกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจพลังงาน จากที่ขยายไปยังธุรกิจเอทานอล แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน โรงไฟฟ้า ซึ่งในธุรกิจถ่านหินอยู่ระหว่างเจรจาที่ทำ แต่โรงไฟฟ้านั้นจะต้องใช้เวลา” นายศุภชัย กล่าว