โอสถสภา รับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลก กระทบกำลังซื้อคนไทยชะลอตัว วางหมากรัดกุมชูแผนโฟกัสความต้องการผู้บริโภค ปั้นสินค้าโดนใจ ตัดทิ้งสินค้าตัวถ่วง อัดซีเอสอาร์ สิ้นปีโต 10% กวาด 6,300-6,500 ล้านบาท ด้านอดีตนายกสมาคมตลาดฯแนะต้องทำตลาดต่อเนื่องหยุดไม่ได้แต่ต้องระวังมากขึ้น
นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ ผู้อำนวยการการตลาด ผลิตภัณฑ์เบบี้มายด์ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเบบี้มายด์ เปิดเผยว่า ทิศทางการตลาดเพื่อรองรับกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก บริษัทจะมุ่งเน้นการสื่อสารกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เน้นการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การดำเนินกิจกรรมการตลาด และมุ่งเน้นการตลาดอย่างรับผิดชอบสังคม เ
**ตัดสินค้าไม่ทำรายได้ทิ้ง
“ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก จะกระทบต่อการลงทุนในประเทศและภาคการส่งออก โดยภาพรวมพฤติกรรมของผู้บริโภคตั้งแต่ปีที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบันมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยปีนี้กำลังการซื้อของผู้บริโภคทรงตัวและคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 2-3% เท่ากับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทเริ่มพิจารณาบางรายการที่ไม่สร้างรายได้ออกจากตลาด อาทิ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายเอ็กซ์ซิท”
แนวโน้มการแข่งขันไตรมาสสุดท้าย สินค้าอุปโภคบริโภคจะอัดโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม เพื่อกระตุ้นยอดขาย สำหรับบริษัทในช่วง 2-3 เดือนนี้ จะไม่เน้นทำโปรโมชัน เนื่องจากผลประกอบการของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10 % หรือมีรายได้ 6,300-6,500 ล้านบาท โดยนี้บริษัทจะโฟกัสสินค้าครีมอาบน้ำและโลชั่นเป็นหลัก เพราะช่วงฤดูกาลขายสินค้า
ล่าสุดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเบบี้มายด์ ครองส่วนแบ่ง 40% และคาดว่าสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 42-43% จากมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก 5,000 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการตลาดเชิงรุก ด้วยการปรับสูตรน้ำยาปรับผ้านุ่มและบรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมกับดำเนินการตลาดเพื่อสังคม Corporate Social Responsibility (CSR) มากขึ้น
โดยเบบี้มายด์ จัดโครงการ” อบอุ่นน้ำใจ มอบความห่วงใยให้น้อง” ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่ม สำหรับโครงการเปิดรับบริจาคเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเสื้อกันหนาวจากประชาชนทั่วไป ปัจจุบันกลุ่มซักผ้าครองส่วนแบ่ง 50% จากมูลค่า 400 ล้านบาท และกลุ่มน้ำยาปรับผ้านุ่ม 60 % จากมูลค่า 400 ล้านบาท หลังจากที่ตลาดมีการแข่งขันการทำโปรโมชันอย่างรุนแรง
**ไม่หยุดทำตลาดแต่ต้องระวัง
นางสาวลักขณา ลีละยุทธโยธิน อดีตนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการบริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันอกเฉียงใต้ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องดื่มซุปไก่สกัดและรังนก “แบรนด์” เปิดเผยว่า ทิศทางการทำตลาดในปี 2552 ผู้ประกอบการมีความระมัดระวังการดำเนินธุรกิจมากขึ้น แต่ดำเนินการตลาดคงต้องดำเนินอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถหยุดได้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปีหน้านี้ จากวิกฤตการเงินประเทศอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะลุกลามในแต่ละประเทศ และได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างและนาน
“เศรษฐกิจในปีหน้าคาดแตกต่างไปจากช่วงวิกฤติการเงินประเทศไทยในช่วงปี2540 หรือ ต้มย้ำกุ้งไครซิส ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศเหมือนไฟไหม้บ้าน สามารถควบคุมและคาดเดาทิศทางได้ ส่วนวิกฤตในครั้งนี้เหมือนไฟไหม้ป่า ซึ่งมาจากต่างประเทศและขยายออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก คาดเดาได้ยากว่าปัญหาจะยาวต่อเนื่องไปอีกนานเท่าไหร่”
นางสาวลักขณา กล่าวว่า นักการตลาดจะต้องปรับตัวเพื่อเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจการเงินโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น ด้วย 2 กลยุทธ์หลัก คือ ปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และกลุ่มเป้าหมายหลักที่ชัดเจนของแต่ละสินค้า เพื่อให้เม็ดเงิน ที่ใช้ในการทำตลาดหรือลงทุนได้ผลคุ้มค่ามากที่สุด
สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในปีหน้าคาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพที่ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยยอดขายบริษัทในช่วง 9เดือนที่ผ่านมาเติบโตกว่า 2 หลัก ล่าสุดบริษัทใช้งบกว่า 40ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าซุปไก่ “แบรนด์” ตลอด3เดือนสุดท้ายปีนี้ ผ่าน2 ภาพยนตร์โฆษณา โดยใช้ โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร เป็นตัวแทนสินค้าเช่นเดิม เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายหลักคนรุ่นใหม่-นักเรียนนักศึกษา
บริษัทยังปรับภาพลักษณ์ซุปไก่แบรนด์จูเนียร์พร้อมกันทั่วโลก เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่และส่ง2 มาสคอต คือ อัลฟาเอจ และอัลฟา มายด์ มาเพิ่มสีสันให้กับแบรนด์ดังกล่าวด้วย และจากการดำเนินการตลาดเชิงรุกคาดว่าจะตอกย้ำความเป็นผู้นำแบรนด์ซุปไก่ด้วยการครองส่วนแบ่ง 92% จากมูลค่า 2,800 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่ง 85% ด้วยการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก
นายวิเชียร สันติมหกุลเลิศ ผู้อำนวยการการตลาด ผลิตภัณฑ์เบบี้มายด์ บริษัท โอสถสภา จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเบบี้มายด์ เปิดเผยว่า ทิศทางการตลาดเพื่อรองรับกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก บริษัทจะมุ่งเน้นการสื่อสารกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด เน้นการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การดำเนินกิจกรรมการตลาด และมุ่งเน้นการตลาดอย่างรับผิดชอบสังคม เ
**ตัดสินค้าไม่ทำรายได้ทิ้ง
“ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก จะกระทบต่อการลงทุนในประเทศและภาคการส่งออก โดยภาพรวมพฤติกรรมของผู้บริโภคตั้งแต่ปีที่ผ่านมากระทั่งปัจจุบันมีความระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย โดยปีนี้กำลังการซื้อของผู้บริโภคทรงตัวและคาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 2-3% เท่ากับการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม อย่างไรก็ตามขณะนี้บริษัทเริ่มพิจารณาบางรายการที่ไม่สร้างรายได้ออกจากตลาด อาทิ ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายเอ็กซ์ซิท”
แนวโน้มการแข่งขันไตรมาสสุดท้าย สินค้าอุปโภคบริโภคจะอัดโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม เพื่อกระตุ้นยอดขาย สำหรับบริษัทในช่วง 2-3 เดือนนี้ จะไม่เน้นทำโปรโมชัน เนื่องจากผลประกอบการของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10 % หรือมีรายได้ 6,300-6,500 ล้านบาท โดยนี้บริษัทจะโฟกัสสินค้าครีมอาบน้ำและโลชั่นเป็นหลัก เพราะช่วงฤดูกาลขายสินค้า
ล่าสุดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กเบบี้มายด์ ครองส่วนแบ่ง 40% และคาดว่าสิ้นปีนี้เพิ่มเป็น 42-43% จากมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก 5,000 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้ดำเนินการตลาดเชิงรุก ด้วยการปรับสูตรน้ำยาปรับผ้านุ่มและบรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมกับดำเนินการตลาดเพื่อสังคม Corporate Social Responsibility (CSR) มากขึ้น
โดยเบบี้มายด์ จัดโครงการ” อบอุ่นน้ำใจ มอบความห่วงใยให้น้อง” ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่ม สำหรับโครงการเปิดรับบริจาคเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเสื้อกันหนาวจากประชาชนทั่วไป ปัจจุบันกลุ่มซักผ้าครองส่วนแบ่ง 50% จากมูลค่า 400 ล้านบาท และกลุ่มน้ำยาปรับผ้านุ่ม 60 % จากมูลค่า 400 ล้านบาท หลังจากที่ตลาดมีการแข่งขันการทำโปรโมชันอย่างรุนแรง
**ไม่หยุดทำตลาดแต่ต้องระวัง
นางสาวลักขณา ลีละยุทธโยธิน อดีตนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการบริหาร ภาคพื้นเอเชียตะวันอกเฉียงใต้ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและทำตลาดเครื่องดื่มซุปไก่สกัดและรังนก “แบรนด์” เปิดเผยว่า ทิศทางการทำตลาดในปี 2552 ผู้ประกอบการมีความระมัดระวังการดำเนินธุรกิจมากขึ้น แต่ดำเนินการตลาดคงต้องดำเนินอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถหยุดได้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปีหน้านี้ จากวิกฤตการเงินประเทศอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะลุกลามในแต่ละประเทศ และได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างและนาน
“เศรษฐกิจในปีหน้าคาดแตกต่างไปจากช่วงวิกฤติการเงินประเทศไทยในช่วงปี2540 หรือ ต้มย้ำกุ้งไครซิส ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศเหมือนไฟไหม้บ้าน สามารถควบคุมและคาดเดาทิศทางได้ ส่วนวิกฤตในครั้งนี้เหมือนไฟไหม้ป่า ซึ่งมาจากต่างประเทศและขยายออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก คาดเดาได้ยากว่าปัญหาจะยาวต่อเนื่องไปอีกนานเท่าไหร่”
นางสาวลักขณา กล่าวว่า นักการตลาดจะต้องปรับตัวเพื่อเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจการเงินโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น ด้วย 2 กลยุทธ์หลัก คือ ปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และกลุ่มเป้าหมายหลักที่ชัดเจนของแต่ละสินค้า เพื่อให้เม็ดเงิน ที่ใช้ในการทำตลาดหรือลงทุนได้ผลคุ้มค่ามากที่สุด
สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมในปีหน้าคาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพที่ยังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยยอดขายบริษัทในช่วง 9เดือนที่ผ่านมาเติบโตกว่า 2 หลัก ล่าสุดบริษัทใช้งบกว่า 40ล้านบาท จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าซุปไก่ “แบรนด์” ตลอด3เดือนสุดท้ายปีนี้ ผ่าน2 ภาพยนตร์โฆษณา โดยใช้ โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร เป็นตัวแทนสินค้าเช่นเดิม เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายหลักคนรุ่นใหม่-นักเรียนนักศึกษา
บริษัทยังปรับภาพลักษณ์ซุปไก่แบรนด์จูเนียร์พร้อมกันทั่วโลก เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่และส่ง2 มาสคอต คือ อัลฟาเอจ และอัลฟา มายด์ มาเพิ่มสีสันให้กับแบรนด์ดังกล่าวด้วย และจากการดำเนินการตลาดเชิงรุกคาดว่าจะตอกย้ำความเป็นผู้นำแบรนด์ซุปไก่ด้วยการครองส่วนแบ่ง 92% จากมูลค่า 2,800 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีส่วนแบ่ง 85% ด้วยการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก