“ไชยา” เตรียมชง ครม.พรุ่งนี้ รับจำนำ 3 สินค้าเกษตร ข้าว-มันสำปะหลัง-ข้าวโพด ขณะที่ยางพาราและปาล์ม ราคาร่วงหนัก คาดเป็นสินค้าภาคใต้จึงถูกลืม ปชป. เร่งประชุมเกษตรกรหาทางช่วยเหลือกันเอง “ชวน” กรีดรัฐบาลทายาทอสูร หมดความชอบธรรมบริหารประเทศ หวั่นฟาดหัวคิวสนั่นไซโล ขณะที่เอกชน เผย ผลกระทบตลาดโลกทำส่งออกสินค้าเกษตรร่วงทุกรายการ หลังคาดหวังเอฟทีเอสินค้าเกษตรแลกดาวเทียม
วันนี้ (20 ต.ค.) นายไชยา สะสมทระทรัย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเปิดรับจำนำสินค้าเกษตร จำนวน 3 รายการ โดยจะขอให้มีการเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูการผลิต ปี 2551/2552 จำนวน 8 ล้านตัน, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จำนวน 5 แสนตัน ราคากิโลกรัมละ 8.20 บาท หรือ 8.50 บาท และมันสำปะหลัง จำนวน 5 ล้านตัน ในราคากิโลกรัมละ1.80 บาท หรือ 1.90 บาท โดยจะใช้งบประมาณทั้งหมด ประมาณ 120,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของการรับจำนำข้าวนั้น หากมีปริมาณมากจนโรงสีในพื้นที่มีไม่เพียงพอ ก็สามารถเปิดรับจำนำข้ามเขตได้
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่า การรับจำนำข้าวนาปีจำนวน 8 ล้านตันข้าวเปลือก ยุคของนายไชยา ที่เกาะเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์อย่างเหนียวแน่น หลังการปรับคณะรัฐมนตรี ทำให้วงการค้าข้าวจับตา ว่า นายไชยา ต้องการกลับมาเพื่อเดินหน้ากินรวบจากนโยบายข้าวที่เคยวางเส้นสายเอาไว้หรือไม่ ส่วนข้าวโพดและมันสำปะหลัง ก็มีแรงกดดันจากกลุ่มหัวคะแนนในภาคอีสาน ซึ่งไปลงทุนเอไว้ แต่ราคาตกต่ำลงมามาก ก็เลยกดดันรัฐบาลตอบแทนบุญคุณ โดยให้เข้ามาช่วยประกันราคาขั้นต่ำ ทั้งยังมีผลประโยชน์จากการเช่าไซโลอีกด้วย
** “ยาง-ปาล์ม” สินค้าภาคใต้ที่รัฐแกล้งลืม
ก่อนหน้านี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ดื้อไม่ยอมลาออก หรือยุบสภานั้น ก็เพื่อต่ออายุของรัฐบาลออกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงทางตัน ทั้งนี้ รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้คิดที่จะแก้ปัญหาราคาผลผลิตทางด้านการเกษตรตกต่ำ ทั้งราคายางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพด จึงทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน
นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากกรณีที่ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะยางพารา และปาล์มน้ำมัน ซึ่งถือเป็นพืชหลักของเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ได้นัด ส.ส.ภาคใต้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการกลางยางพาราภาคใต้ และตัวแทนเกษตรกร ในวันนี้ เพื่อรับฟังปัญหาของเกษตรกร และแนวทางแก้ไข หรือมาตรการจากคณะกรรมการกลางยางพารา
นายเทพไท กล่าวอีกว่า หากได้ข้อสรุปจากที่ประชุมแล้ว ส.ส.ภาคใต้ของพรรค ประชาธิปัตย์ จะเข้าพบกับปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งถือว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการกระทรวง ในวันที่ 21 ต.ค. เวลา 13.00 น.เพื่อนำปัญหาทั้งหมดไปนำเรียนให้กระทรวง พาณิชย์ เพื่อหามาตรการและแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป
นายเทพไท ระบุเพิ่มเติมว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงความเห็นว่า ปัญหาทั้งหมดควรที่จะได้รับการผลักดันและแก้ไขจาก รมว.พาณิชย์ แต่เนื่องจากภาพลักษณ์ของรัฐบาลชุดนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ และขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ ดังนั้น ส.ส.ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ จึงอารยะขัดขืนเหมือนประชาชนทั่วไป โดยไม่เข้าพบ รมว.พาณิชย์ และ รมช.พาณิชย์
ทั้งนี้ พบว่า ราคายางแผ่นดิบตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่เคลื่อนไหวผันผวน ปรับตัวลดลงจากเมื่อวาน 6.00 บาท/กิโลกรัม (กก.) และวิกฤตเศรษฐกิจโลกถดถอยในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ตลาดและราคายาง เนื่องจากผู้ส่งออกไทยขายยางได้ยากขึ้น เพราะอุปสงค์ยางชะลอลง เนื่องจากยอดขายรถยนต์ลดลง ราคาเสนอขายยางแผ่นรมควันปรับตัวลดลงอยู่ต่อเนื่อง
นายอุทัย หมื่นสา เกษตรกรรายผู้ปลูกยางพาราพื้นที่ ต.กกดู่ อ.เมือง จ.เลย กล่าวว่า จากการที่ราคายางพาราตกต่ำอยู่ในขณะนี้ ประกอบกับปัจจัยด้านอื่นๆ อาทิ ปุ๋ยเคมีหรือแม้แต่ราคาอุปกรณ์ทางการเกษตรมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้ตนและเพื่อนเกษตรกรรายอื่นๆ ได้รับผลกระทบอย่างมาก จึงต้องมีการชะลอการขายออกไปก่อน เพื่อรอให้ราคายางในตลาดมีการปรับตัวดีขึ้นกว่านี้ จึงจะนำออกมาขายอีกรอบ เพราะหากเกษตรกรนำยางออกมาขายในช่วงนี้จะทำให้ได้รับผลกระทบจากการที่ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่า ราคายางมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ยางมีความต้องการใช้ลดลง เพราะผู้บริโภคในสหรัฐฯซึ่งเป็นตลาดการค้าหลักของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วโลกของเกือบทุกประเทศได้ชะลอการซื้อสินค้าลง เพราะเกิดวิกฤตการเงิน คาด วิกฤตการเงินจะขยายไปทั่วโลก ส่งผลให้จีนและญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ใช้ยางรายใหญ่ของไทยชะลอการสั่งซื้อทั้งจากไทยและผู้ผลิตรายอื่น
นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคายางในตลาดโลกลดลง คาดว่า ราคายางพาราคาในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง ในทิศทางเดียวกับราคายางสังเคราะห์ ซึ่งเป็นสินค้าพลอยได้จากน้ำมัน ขณะที่นักเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้าหันไป เก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์อื่นแทนสินค้ายางพารา
**ปาล์มราคาร่วงหนัก รัฐบีบคอ-กดราคา
นายศุภชัย จินตนาเลิศ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สุขสมบูรณ์ น้ำมันปาล์ม จำกัด กล่าวว่าจากราคาผลปาล์มน้ำมันที่ลดลงจาก กก.ละ 5-6 บาท เหลือ กก.ละ 2.80-3.00 บาท ทำให้โรงงานสกัดและโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มได้รับความเดือดร้อนไม่น้อยไปกว่าชาวสวนปาล์ม เพราะโรงงานได้สต๊อกวัตถุดิบไว้ โดยราคาน้ำมันปาล์มดิบที่โรงงานกลั่นและโรงงานสกัดสต๊อกขณะนี้จะอยู่ที่ประมาณ กก.ละ 30 บาท จากที่เคยสูง กก.ละ 38-40 บาท แต่ราคาปัจจุบันจากผลปาล์มดิบ กก.ละ 2.80-3.00 บาท น้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ กก.ละ 19 บาท น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์จะตกขวดละประมาณ 30 บาท (ขนาดบรรจุ 1 ลิตร)
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวในการน้ำมันปาล์ม กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาน้ำมันพืชได้มีมติให้ปรับลดราคาน้ำมันปาล์มบริโภคบรรจุขวดลงเหลือขวดละ 38 บาท จากเดิมขวดละ 47.50 บาท โดยโรงงานสกัดต้องซื้อผลปาล์มดิบที่ กก.ละ 3.50 บาท ขายน้ำมันปาล์มดิบให้โรงงานกลั่น กก.ละ 22-23 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งราคาใหม่นี้หากใครมีสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ กก.ละ 30 บาท เหลืออยู่มากมีความเสี่ยงขาดทุน แต่ถ้าใครไม่มีสต๊อกถือว่าเป็นราคาที่สมดุลทุกฝ่าย
**มันสำปะหลังราคาตกยาวถึงปี 52
นายเจน วงศ์บุญสิน นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลัง กล่าวว่า ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงทุกชนิด เป็นผลมาจากวิกฤตเศรษฐกิจของโลกชะลอตัว ในส่วนของมันสำปะหลัง ขณะนี้ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 1.45 บาท ถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตที่กิโลกรัมละ 1.20 บาท ซึ่งราคาที่เกษตรกรขายได้ควรสูงกว่าต้นทุนการผลิตอย่างน้อย 20%
สาเหตุที่ราคามันสำปะหลังช่วงนี้ต่ำมาก เป็นเพราะในปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีฝนตกหนักทำให้ปริมาณเชื้อแป้งในมันสำปะหลังมีน้อย สมาคมได้เตือนเกษตรกรอย่าเพิ่งขุดหัวมันออกมาขาย รอให้ถึงเดือน พ.ย.ก่อนจะเข้าฤดูหนาว เชื้อแป้งจะเพิ่มสูงขึ้นราคาจะสูงขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม ราคามันสำปะหลังช่วงปลายปีนี้ถึงปี 2552 จะไม่สูงเท่ากับปีนี้ที่ราคาสูงสุดกิโลกรัมละ 2.50 บาท เนื่องจากแรงกดดันของภาวะเศรษฐกิจโลกจะทำให้ความต้องการมันสำปะหลังลดลง ในส่วนที่นำไปใช้เป็นพลังงานทดแทน แต่ความต้องการจะไม่ลดลงทีเดียว เพราะกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์ ส่งผลให้การส่งออกของไทยยังทำได้ เพียงแต่ต้องปรับลดราคา ให้สอดคล้องกับภาวะตลาด ซึ่งมันสำปะหลังที่คาดว่าปี 2551/2552 ที่จะมีผลผลิตประมาณ 29 ล้านตันเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านจะสามารถส่งออกได้หมด
ด้านสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวว่า สถานการณ์ราคามันสำปะหลังปัจจุบันตลาดยังซบเซา ทำให้ราคาลดลงทุกผลิตภัณฑ์ คาดว่า จะลดลงต่อเนื่อง เพราะระดับราคายังไม่มีเสถียรภาพ ส่วนหนึ่งมาจากวิกฤตการเงินโลก ที่ผู้ซื้อทุกคนรอดูสถานการณ์จึงชะลอการสั่งซื้อ และอัตราการบริโภคของโลกลดลง ทำให้การสั่งซื้อสินค้าต้นทุนอื่นๆ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทำให้คนไม่กล้าลงทุน
ทั้งนี้ ยังไม่สามารถประเมินทิศทางราคาปี 2552 ได้ เพราะไม่ทราบว่าวิกฤตการเงินโลก จะรุนแรงแค่ไหน และกินเวลานานเท่าไร ส่วนแนวทางการปรับตัวยอมรับว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนรับมือที่ชัดเจนเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก ขณะที่รัฐบาลยุคทักษิณได้เคยไปเปิดตลาดสินค้าเกษตรมากมาย เพื่อแลกกับการเปิดเสรีโทรคมนาคม และการบิน ทำให้ราคาสินค้าเกษตรหลักของไทยต้องผูกติดกับราคาในตลาดโลก