อีซีบี เร่งกู้ซากตลาดการเงินยุโรป ส่งสัญญาณปรับลดดบ. ในการประชุมครั้งหน้า เพื่อหยุดวิกฤตสถาบันการเงิน นับเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปี หลังวานนี้ คงดอกเบี้ยที่ 4.25% เพื่อแก้ไขเงินเฟ้อ ขณะที่สถาบันการเงินในยุโรปยังไม่พ้นวิกฤต
วันนี้ ( 3 ต.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายฌอง คลอด์ทริเชท ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 5 ปีในการประชุมเดือนหน้า หลังอัตราเงินเฟ้อลดลง ขณะที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงิน
นายทริเชท กล่าวในการแถลงข่าวภายหลังอีซีบีคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.25% ในการประชุมวานนี้ว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินอีซีบีเริ่มหารือถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก หลังมีความเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤตการเงิน
ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า อีซีบีจะลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปเดือนหน้าเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่กำลังเสี่ยงต่อการถดถอย
โดยวานนี้ อีซีบี ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.25 ตามเดิม แม้จะมีกระแสกดดันเพิ่มขึ้นจากวิกฤติภาคการธนาคารต่างประเทศ และเศรษฐกิจถดถอยในกลุ่มยุโรป
ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้แล้วว่า ธนาคารกลางยุโรปจะคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ติดต่อกันมาเป็นเดือนที่ 3 แล้ว เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาเงินเฟ้อ แต่ก็มีกระแสวิตกมากขึ้นต่อปัญหาตลาดเงินผันผวนอย่างหนัก ซึ่งส่งผลต่อตลาดยุโรปในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้น นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ปัญหาต่างๆ จะทำให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนี้ อีซีบี ยังได้เปิดให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมเงินระยะสั้นรอบใหม่เป็นเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นกิจวัตรปกติ เช่นเดียวกับธนาคารกลางประเทศอื่นๆ เพื่อใส่สภาพคล่องในตลาดหลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐล้มละลายจนสภาพคล่องตึงตัว เพราะการกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเป็นไปได้ยาก
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่าแม้ธนาคารกลางหลายประเทศจะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมหาศาล แต่ธนาคารพาณิชย์กลับกอดเงินไว้กับตัวไม่มีการนำไปปล่อยกู้ต่อให้กับธนาคารพาณิชย์ด้วยกัน หรือแม้แต่ภาคธุรกิจ และเพื่อหยุดยั้งการล้มละลายของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของยุโรปที่ทยอยล้มเป็นโดมิโนตามสหรัฐฯ
**ลำดับเหตุการณ์สถาบันการเงินล้มในยุโรป
18 ก.พ. 51 "ธ.นอร์ทเทิร์น ร็อก" สถาบันปล่อยสินเชื่อรายใหญ่อันดับ 5 ของอังกฤษเบิกร่องการตกชั้น กลายเป็นกิจการของรัฐก่อนใครเพื่อน เมื่อธนาคารกลางอังกฤษทุ่มเงินกว่า 2.5 หมื่นล้านปอนด์เข้าช่วยเหลือกิจการ หลังเลี้ยงไข้จากอาการป่วยพิษซับไพรม์มานานถึง 6 เดือน โดยปัญหาของธนาคารแห่งนี้อุบัติขึ้นเมื่อครั้งที่ต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนทุนรอนที่ใช้รองรับการออกเงินกู้ อันเป็นชนวนเหตุของการเกิดวิกฤตศรัทธาพาลให้ลูกค้าแห่ถอนเงินกันยกใหญ่ ขณะที่กูรูตลาดเงินมองว่า ความล้มเหลวในการดำเนินธุรกิจของนอร์ทเทิร์น ร็อกครั้งนี้ สร้างความเสียหายครั้งร้ายแรงที่สุดต่อธุรกิจการเงินแดนผู้ดีในรอบ 140 ปีเลยทีเดียว
18 ก.ย. 51 "ธ.เอชบีโอเอส" หรือธนาคารแฮลิแฟกซ์ แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ ผู้ปล่อยกู้จำนองรายใหญ่ที่สุดในอังกฤษได้ตกร่องปล่องชิ้นขายกิจการให้กับธนาคารลอยด์ส ทีเอสบี มูลค่า 1.22 หมื่นล้านปอนด์ หลังจากหุ้นของธนาคารที่ทำการซื้อขายในตลาดลอนดอนถูกแรงกระแทกลง 52% จนส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของเอชบีโอเอสตามมา ทั้งนี้ บีบีซีรายงานคำกล่าวของเซอร์ วิคเตอร์ แบลงค์ ประธานกรรมการของลอยด์ส ทีเอสบีว่า การทำข้อตกลงซื้อกิจการครั้งนี้ คือ การพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเพื่อขยายกลยุทธ์เป็นกลุ่มผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในประเทศ แต่ก็ยอมรับว่าพนักงานจะได้รับผลกระทบในการปรับลดจำนวนหนึ่งแต่จะไม่สูงถึง 4,000 คนตามที่เป็นข่าว ฟากเดนนิส สตีเวนสัน ประธานกรรมการของเอสบีโอเอสมองว่า การกระทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่เหมาะสม เพราะกลุ่มธนาคารที่มีการควบรวมกิจการกันจะเติบใหญ่กลายเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอังกฤษ อย่างไรก็ดี สิ่งที่บุคคลทั้งสองกล่าวมาข้างต้นนี้จะเป็นจริงได้หรือไม่นั้น คงมีเพียง "เอริค แดเนียลส์" ซีอีโอของลอยด์ส ทีเอสบี ที่นั่งเก้าอี้ผู้บริหารสูงสุดและมีอำนาจชี้ชะตาธนาคารแห่งนี้เป็นผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุด
28 ก.ย. 51 "ธ.แบรดฟอร์ด แอนด์ บิงลีย์" สถาบันปล่อยกู้เพื่อซื้อบ้านรายใหญ่อีกแห่งของอังกฤษวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของรัฐบาลผู้ดีตามรอยนอร์ทเทิร์น ร็อกไปอีกราย โดยนายอลิสแตร์ ดาร์ลิ่ง รัฐมนตรีคลังอังกฤษเปิดเผยว่า ทางกระทรวงจะเป็นผู้รับช่วงสินเชื่อมูลค่า 5 หมื่นล้านปอนด์ เพื่อรับผิดชอบดูแลกิจการด้านสินเชื่อ อสังหาริมทรัพย์ และเงินกู้ประเภทอื่นๆ ขณะที่ธนาคารซันทันเดอร์ แบงก์ยักษ์ของสเปนจะร่วมทุบกระปุกควักเงินจำนวน 2 หมื่นล้านปอนด์ พร้อมรับหน้าเสื่อดูแลสาขาย่อยราว 200 แห่งอีกแรง เพื่อช่วยให้ธนาคารเปิดให้บริการลูกค้าได้ตามปกติ
29 ก.ย. "ธ.ฟอร์ติส" กลุ่มธุรกิจธนาคารและการประกันภัยยักษ์ใหญ่ของกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ (เบลเยี่ยม, เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก) ถูกจั่วหัวเป็นโดมิโนตัวรองต่อจากอังกฤษที่ติดร่างแหจากปัญหาสภาพคล่องจนต้องเข้าสู่กระบวนการโอนกิจการเป็นของรัฐ หลังจากที่หุ้นดำดิ่งชนิดกู่ไม่กลับ 35% ในตลาดเบลเยี่ยม ร้อนถึงนายฌอง คล็อด-ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรปต้องออกมาประกาศยึดฟอร์ติส ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของพนักงานราว 85,000 คนทั่วโลก และภายใต้ข้อตกลงการโอนกิจการครั้งนี้นั้น กลุ่มประเทศเบเนลักซ์ได้ออกมาแถลงถึงการลงขันร่วมกัน 1.12 หมื่นล้านยูโร โดยมีรายละเอียดว่า รัฐบาลเบลเยียมจะลงทุน 4.7 พันล้านยูโรเพื่อซื้อหุ้นสามัญ 49% ส่วนรัฐบาลเนเธอร์แลนด์จะทุ่มเงิน 4 พันล้านยูโร ขณะที่รัฐบาลลักเซมเบิร์กขอควัก 2.5 พันล้านยูโรผ่านการซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพ ทั้งนี้ เซียนตลาดเงินมองว่า ปัญหาของฟอร์ติสมีต้นตอมาจากการที่กลุ่มธุรกิจนี้ลงทุนเกินตัวด้วยการกว้านซื้อแบงก์ชื่อดัง 3 แห่งรวดเมื่อปีก่อน จนเป็นที่มาของความหวั่นวิตกว่าจะประสบปัญหาขาดทุนในที่สุด
29 ก.ย. 51 "ธ.ไฮโป เรียล เอสเตท" สถาบันปล่อยเงินกู้ด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับ 2 ของเยอรมนีต้องร้องขออ็อกซิเจนจากรัฐบาลในประเทศและธนาคารเอกชนให้ร่วมกันต่อลมหายใจอัดฉีดเงิน 3.5 หมื่นล้านยูโร เพื่อช่วยชีวิตให้ธนาคารแห่งนี้สามารถลืมตาตื่นขึ้นมาจากภาวะล้มละลาย
29 ก.ย. 51 "ธ.กลิตนีร์" ธนาคารยักษ์ใหญ่หมายเลข 3 ของไอซ์แลนด์หันหน้าไปพึ่งบารมีรัฐบาล ผู้สวมบทพระเอกเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการด้วยการถือครองหุ้นสัดส่วน 75% หรือคิดเป็นมูลค่า 600 ล้านยูโร โดยความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นปรากฏการณ์เข้ายึดกิจการธนาคารครั้งใหญ่ครั้งแรกของประเทศในช่วงที่วิกฤตการเงินแพร่สะพัดไปทั่วโลก เมื่อธนาคารกลางไอซ์แลนด์ฟันธงว่า กลิตนีร์ ธนาคารที่มีอายุยืนยาวมาถึง 104 ปีและดำเนินงานใน 10 ประเทศรายนี้จะต้องล่มสลายกลายเป็นตำนานไปอย่างแน่นอน หากรัฐบาลไม่ยอมยื่นมือเข้ามาแทรกแซง
30 ก.ย. 51 "ธ.เด็กเซีย" ธนาคารสัญชาติเบลเยียม-ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้นำด้านพันธบัตรเทศบาลในยุโรปได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลเบลเยียมที่ประกาศยืนหยัดเคียงข้างเด็กเซียแบบไม่หลบลี้หนีหน้า เช่นเดียวกับรัฐบาลฝรั่งเศสและผู้ถือหุ้นของธนาคารที่ร่วมแรงร่วมใจอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเป็นมูลค่า 6,400 ล้านยูโร หลังราคาหุ้นรูดลงเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสวิกฤตศรัทธาที่ไหลเชี่ยวกรากจากปัญหาเม็ดเงินสภาพคล่องในธนาคาร ไม่ต่างจากเหยื่อรุ่นพี่ที่โดนพิษสงของวิกฤตการณ์การเงินเล่นงานล้มไปตามๆ กัน
ล่าสุดวันนี้ 3 ต.ค. 51 "ธ.ยูบีเอสฯ" เตรียมปลดพนักงานวาณิชธนกิจ 2 พันคน สำนักข่าวเอพีรายงานว่า โฆษกของธนาคารยูบีเอสเอจี ธนาคารใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ ยอมรับว่า ธนาคารเตรียมปลดพนักงานฝ่ายวาณิชธนกิจจำนวน 2,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจวาณิชธนกิจในสหรัฐฯ และอังกฤษ โดยนางซาบีน วูสส์เนอร์ โฆษกยูบีเอส ระบุว่า การปลดพนักงานบางส่วนจะมีขึ้นในสำนักงานในสวิตเซอร์แลนด์และในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคด้วย ซึ่งการปลดพนักงานครั้งนี้ ส่งผลให้การปลดพนักงานฝ่ายวาณิชธนกิจของยูบีเอสเพิ่มขึ้นเป็น 17,000 คน ในปลายปีนี้ และน้อยกว่าที่ปลดพนักงานมากที่สุดในไตรมาส 3/2550 จำนวน 6,000 คน