รมว.พาณิชย์ เตรียมเร่งเปิดรับจำนำข้าวนาปี 8 ล้านตัน งวดปี 51/52 เตรียมเสนอ ครม.พรุ่งนี้ ท่ามกลางกระแสกดดันทางการเมืองที่เรียกร้องหนักขึ้นจากทุกภาคในสังคม ซึ่งรัฐบาลอาจมีการยุบสภา หรือการลาออกของนายกรัฐมนตรี เพื่อปลดชนวนยุติความรุนแรง
วันนี้ (8 ก.ย.) นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลจะสามารถเปิดโครงการรับจำนำข้าวนาปี ฤดูการผลิต 51/52 ที่จะทยอยออกสู่ตลาดในเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งน่าจะมีเป้าหมายรับจำนำประมาณ 8 ล้านตันข้าวเปลือก ราคารับจำนำเบื้องต้น ข้าวเปลือกเจ้า อยู่ที่ประมาณ 14,000 บาท/ตัน ข้าวเปลือกหอมมะลิ อยู่ที่ประมาณ 15,000-16,000 บาท/ตัน และข้าวเปลือกเหนียว จะอยู่ที่ 9,000 บาท/ตัน โดยเตรียมจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้
อย่างไรก็ดี ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) จะมีการประกาศนโยบายรับจำนำข้าวนาปีอย่างเป็นทางการไม่เกินกลางเดือน ต.ค.2551 ซึ่งคาดว่าจะให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามาเป็นหน่วยงานหลักในการรับจำนำ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปให้การสนับสนุนอีกทางหนึ่ง
ส่วนระยะเวลาโครงการรับจำนำ คาดจะเริ่มได้ราวกลางเดือน ต.ค.2551-สิ้นเดือน ก.พ.2552 นอกจากนั้น กขช.ยังเห็นชอบตามที่คณะกรรมการแก้ปัญหาข้าวครบวงจร เสนอให้เพิ่มปริมาณรับจำนำข้าวนาปรังปี 2551 เพิ่มอีก 1 ล้านตัน จาก 2.5 ล้านตัน เป็น 3.5 ล้านตัน
“ราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2551/2552 ที่ประชุมพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว และต้องรับจำนำเพื่อไม่ให้ราคาในประเทศตกต่ำ โดยดูจากราคาตลาดในประเทศ ราคาตลาดโลก และสต๊อกรัฐบาลที่มีอยู่ ส่วนราคาจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิจะต้องราคาสูง เพราะเป็นข้าวคุณภาพดี คาดว่ายังคงให้ ธ.ก.ส.เป็นหน่วยงานหลักในการรับจำนำเหมือนข้าวนาปรัง”
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้าที่ตันละ 14,000 บาท จะทำให้ราคาส่งออก ณ ท่าเรือ (FOB) อยู่ที่ตันละ 750 ดอลลาร์ ขณะที่เวียดนามขายอยู่เพียงตันละ 550 ดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งจะทำให้การส่งออกข้าวไทยในปีหน้าลำบาก หรืออาจส่งออกได้เพียง 8 ล้านตัน ลดลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะส่งออกได้เกือบ 10 ล้านตัน
ทั้งนี้ เห็นว่า ราคารับจำนำที่เหมาะสมควรอยู่ที่ตันละ 12,000 บาท สำหรับข้าวเปลือกเจ้า เพราะต้นทุนเฉลี่ยไร่ละ 6,000-7,000 บาท เมื่อรัฐกำหนดราคารับจำนำสูงจะทำให้เกษตรกรแห่มาจำนำ คาดสต๊อกรัฐจะเพิ่มเป็น 7-8 ล้านตัน ซึ่งผู้นำเข้าไม่ต้องเร่งซื้อจากไทย เพราะมีข้าวมาก จึงจะยิ่งเป็นการกดดันให้ราคาส่งออกข้าวไทยลดลง ดังนั้นรัฐบางจำเป็นต้องเร่งระบายสต๊อกข้าวโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีการต้องข้อสังเกตว่า รัฐบาลชุดนี้กำลังเร่งรัดโครงการต่างๆ โดยให้มีการเห็นชอบผ่านมาติ ครม.ทั้งที่ยังไม่สามารถเข้าไปทำงานในทำเนียบได้ อาจเกิดความเสียหาย หรือการทุจริตขึ้นได้ภายหลัง เพราะรัฐบาลไม่มีเครื่องมือในการทำงานได้อย่างเต็มที่ ขณะที่กระแสกดดันจากสังคมให้นายกรัฐมนตรีลาออก หรือการยุบสภา เริ่มมีมากขึ้น โดยหวังให้เป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาการเมือง และยุติการใช้อำนาจในการก่อความรุนแรงต่อประชาชน
