xs
xsm
sm
md
lg

5 นายกสมาคมฯย้ำ “Wait and See” สะท้อนเศรษฐกิจไทยยุค “ช้ำใน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฉับพลันที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในตอนเช้าวันอังคารที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา ยิ่งเป็นเสมือนการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจของไทยให้ยิ่งแย่ลง และกระทบบรรยากาศการทำธุรกิจในไทย การลงทุนให้หนักหนาสาหัสเพิ่มขึ้นไปอีก หลังจากที่ประเทศไทยต้องบอบช้ำมาอย่างรุนแรงหลายปีแล้ว ทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอด กำลังซื้อผู้บริโภคที่ถดถอย และค่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้จะใช้ไปอีกนานเท่าใด แต่ถึงแม้ว่าจะยกเลิกในวันสองวันนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก เนื่องจากความบอบช้ำได้เกิดขึ้นและแผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศแล้ว

โดยคำสัมภาษณ์พิเศษของนายกสมาคมต่างๆ ของภาคเอกชน ที่มีบทบาทต่อวงการธุรกิจของไทยมานำเสนอ เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองต่างๆ ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่สรุปได้ว่า ต้อง “Wait and See” เท่านั้น

*** นลินี ไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย

แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ นายกสมาคมการขายตรงไทย มองว่า สถานการณ์ขณะนี้ต้องรอดูวันต่อวันเลยทีเดียวในช่วงระยะสั้นนี้ ซึ่งยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าจะยาวนานเท่าไร ถ้าหากไม่นานก็ยังพอหายใจได้คล่องคอบ้าง เนื่องจากขณะนี้กำลังซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งยังได้ฉุดอารมณ์จับจ่าให้ลดลงอีกด้วย มาตลอดตั้งแต่ต้นปีแล้ว แต่ถ้าถามว่าจะต้องมีการปรับตัวหรือปรับแผนการดำเนินธุรกิจอะไรไหม คิดว่าวันนี้คงยังไม่ต้องปรับอะไรมาก เพียงแต่ประคองตัวไปก่อน

อย่างไรก็ตาม จากนี้คงต้องเฝ้าจับตาดูการเปลี่ยนผ่านของการเมือง และมั่นใจว่า ทุกอย่างคงจะจบลงด้วยดี และอยากให้คนไทยหันหน้าเข้ามาหากัน คุยกันด้วยสันติวิธี

“ในสัปดาห์นี้จะมีการประชุมของสมาคมฯ คาดว่าคงจะมีการนำเรื่องเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและปัญหาต่างๆ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในคณะกรรมการฯด้วยกันบ้าง ตอนนี้คงทำอะไรมากไม่ได้นอกจาก เวทแอนด์ซี (Wait and See) เท่านั้น ดีที่สุด แต่ในส่วนของธุรกิจขายตรงยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ต้องดูระยะยาวก่อน ว่าเป็นอย่างไร”

*** ธนภณ ตังคณานนท์ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

นายธณภณ ตังคณานนท์ นายกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า จากความวุ่นวายในบ้านเมือง ส่งผลให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งหากเป็นคนภายนอก หรือคนต่างชาติมองเข้ามาแล้ว เขาจะมีความรู้สึกว่ามันน่ากลัวมาก ถึงขั้นที่ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินกันเลยหรือ ทำให้พวกนักท่องเที่ยวเกิดความกลัว ส่งผลกระทบต่อการเข้ามาของนักท่องเที่ยวด้วยที่ลดลง

แต่จริงๆ แล้วคนไทยเองก็คงรู้ว่า มันไม่ได้มีสถานการณ์อะไรที่น่ากลัวขนาดนั้นเลย ทุกอย่างยังสามารถควบคุมได้ เป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมืองของคนสองฝ่าย

“แต่ถ้ามองผลกระทบทางเศรษฐกิจ แน่นอนว่า ถ้าเหตุการณ์คาราคาซังยืดเยื้อออกไปอีก รวมทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ออกมาใช้นั้น ทำให้คนชะลอการจับจ่าย รวมทั้งชะลอการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ เพื่อรอดูท่าทีการเมืองต่อไป ต้องรอดูเท่านั้น”

*** นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่งปลีกไทย

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมการค้าส่งปลีกไทย มองว่า คงต้องจับตาดูว่าปัญหาต่างๆจะลามหนักไปมากกว่านี้อีกหรือไม่ หรือการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะใช้ไปอีกนานเท่าไร เพราะสถานการณ์ขณะนี้ภาวะแบนนี้ถือว่าหนักที่สุดแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้มา เพราะเจอทั้ง ค่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าราคาจะอ่อนลงบ้างในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คิดว่าคงไม่มีอะไรจะหนักไปกว่านี้แล้ว

“ผมมองว่าทุกคนคงต้อง เวท แอนด์ ซี เหมือนกันหมด (Wait and See) ใครจะลงทุนทำอะไรก็ต้องเบรกไว้ก่อนชั่วคราว ตอนนี้ทุกอย่างมันสะดุดไปหมด เพราะความวุ่นวายทางการเมืองและการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งต้องการให้ยกเลิกโดยเร็วๆ สถานการณ์ตอนนี้เปรียบเทียบไปแล้วเหมือนกับว่า บ้านของเรามีปลวกจำนวนมากกัดกินอยู่ เราจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องหาทางกำจัดปลวกออกไปให้หมดโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นบ้านเราพังแน่”

ธุรกิจโชวห่วยได้รับผลกระทบมาโดยตลอดในช่วงปลายปีมานี้ ทั้งการเปิดตัวของยักษ์ค้าปลีกขนาดใหญ่จำนวนมาก กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และต้นทุนการผลิตต่างๆ ก็สูงขึ้นด้วย นอกจากนั้นแล้ว ในช่วงไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงเทศกาลเป็นหน้าขายที่สำคัญ ก็ยังกังวลอยู่ว่าไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะทำตลาดยากหรือไม่ ถ้าเจอปัจจัยลบอีกก็แย่แน่

***วิทวัส ชัยปราณี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย

นายวิทวัส ชัยปราณี นายกสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หากสถานการณ์การชุมนุมยังมีอยู่ และการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยังมีผลบังคับใช้ ผลกระทบในระยะสั้น เชื่อว่าในแง่ของเจ้าของสินค้า จะมีการเลื่อนแผนการเปิดตัวสินค้าออกไปอีกประมาณอีกอย่างน้อย 2 อาทิตย์ และแน่นอนว่า หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อต่อไปอีก จะส่งผลกระทบต่อการใช้งบโฆษณาในช่วงไตรมาส 3 ที่เหลือไปจนถึงไตรมาส 4 นี้ ลดลงตามไปด้วย เพราะเมื่อเจ้าของสินค้าชะลอแผนการใช้งบโฆษณาลง ก็จะส่งผลกระทบต่อถึงแผนการทำงานของเอเยนซีด้วย อาจจะทำให้รายได้ของเอเยนซีช่วงไตรมาสสุดท้ายไม่เป็นไปตามเป้าก็เป็นได้ และแน่นอนว่าจากเดิมที่คาดการณ์กันว่า อุตสาหกรรมโฆษณาปีนี้จะมีการเติบโตประมาณ 5% อาจจะทรงตัวเท่าที่ผ่านมาเท่านั้น

“ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการใช้งบทางการตลาดมาตั้งแต่สมัยชุดก่อนจนมาถึงชุดปัจจุบัน ซึ่งทางด้านเจ้าของสินค้าเองก็ได้ปรับแผนการการใช้งบโฆษณาและการตลาดเป็นแบบระยะสั้นแบบเดือนต่อเดือน แต่หลังจากที่สถานการณ์เริ่มบานปลาย มีการประท้วง มีการขับไล่ ยอมส่งผลกระทบต่อสินค้าบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ เนื่องจากผู้บริโภคไม่มีอารมณ์ในการจับจ่าย ทำให้ชะลอการซื้อออกไปก่อน”

** เสริมคุณ คุณาวงศ์ นายกสมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน

นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ นายกสมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน (EMA) ให้ความเห็นว่า ภายหลังที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกประกาศใช้ พบว่ากระทบกับธุรกิจอีเว้นท์ในภาพรวมค่อนข้างมาก โดยในระยะสั้นนั้น ลูกค้าขอเลื่อนการจัดงานอีเว้นท์ในช่วงนี้ออกไปก่อน โดยขอรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากไม่แน่ใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะบานปลายออกมาเป็นเช่นนี้
ส่วนผลกระทบในระยะยาว เชื่อว่า ธุรกิจอีเวนต์จะได้รับผลกระทบไปจนถึงสิ้นปี และอาจจะถึงต้นปีหน้า โดยในแง่ของลูกค้าส่วนใหญ่ที่เลื่อนแผนการจัดงานออกไป แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถเลื่อนออกไปได้ เนื่องจากได้วางแผนการทำตลาดร่วมกับแผนโฆษณาซึ่งถือเป็นแคมเปญใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ แต่ในกลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักส์ส่วนใหญ่จะชะลอแผนการทำตลาด เลื่อนการจัดงานอีเว้นต์ออกไป
กำลังโหลดความคิดเห็น