เอกชน จี้ รัฐเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทันที ก่อนประเทศชาติวิกฤต การค้า การลงทุน และการส่งออกพังพินาศ สอนมวยรัฐบาล ถ้าในแง่ธุรกิจ หากผู้บริหารบริหารงานผิดพลาด จะพิจารณาตัวเองทันที ไม่ต้องรอใครมาไล่ ชี้ การทำประชามติเป็นแค่การซื้อเวลา เปรียบให้ชัด ธุรกิจไม่มีใครเขาโหวตให้ผู้บริหารที่ล้มเหลว ด้านหอต่างชาติ ระบุ ยิ่งยืดเยื้อ ต่างชาติยิ่งชะลอการลงทุน และหนีไทยไปประเทศอื่น
นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมตัวแทนสมาชิกหอการค้าไทยทั่วประเทศ วานนี้ (4 ก.ย.) ว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอเสนอให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ ทันที เพราะการใช้ พ.ร.ก.ไม่ทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น แต่มีผลเสียทำให้กระทบต่อการท่องเที่ยว การลงทุน และการส่งออก หากปล่อยให้ยืดเยื้อ ประเทศชาติอาจถึงขั้นล่มสลาย เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก
“รัฐบาลจะต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทันที และต้องหาทางให้เหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองจบลงโดยเร็ว เพราะประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต คงไม่ต้องประเมินว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้แค่ไหน แต่ต้องพูดว่าเหตุการณ์จะจบลงได้อย่างไร” นายดุสิต กล่าว ‘
ทั้งนี้ เสียงส่วนใหญ่ของผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสาเหตุทำให้ประเทศสูญเสียเครดิตลงเรื่อยๆ และเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา การที่รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างประเทศสูญเสียความเชื่อมั่น และหากเป็นเช่นนี้และยืดเยื้อ จะยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและถึงขั้นทำให้ต่างชาติหมดความน่าเชื่อถือ
ความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นมาแล้วหลายเดือน แต่ภาคธุรกิจยังสามารถประคับประคองมาได้ จนกระทั่งวันที่ 2 ก.ย.รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ทำให้นักลงทุนต่างประเทศหมดความเชื่อมั่น และยิ่งยืดเยื้อก็จะถึงขั้นหมดความน่าเชื่อถือ
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ถ้าเปรียบการบริหารรัฐบาลกับการบริหารธุรกิจ หากบริษัทประสบปัญหา หรือภาวะวิกฤตในการดำเนินธุรกิจ ความรับผิดชอบจะอยู่ที่ผู้บริหารและคณะผู้บริหารในการแก้ไขปัญหา หรือแสดงความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดผลดีกับบริษัท และหากปัญหานั้นไม่สามารถแก้ไขได้และมีความรุนแรงมากขึ้น ผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบและพิจารณาตนเอง หรือเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นคัดเลือกผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหา
“ในแง่ธุรกิจ ถ้าผู้บริหารแก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำงานไม่ได้ หรือเกิดการต่อต้านผู้บริหาร เขาจะพิจารณาตัวเอง ผู้ถือหุ้นก็ต้องมองหาผู้บริหารใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาและบริหารงาน หากมองการทำงานของรัฐบาล ก็ไม่แตกต่างกัน ต้องพิจารณาตัวเอง แต่ผมคงไม่กล้าให้คำแนะนำว่านายกรัฐมนตรีจะแก้ไขปัญหาอย่างไร” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ฝ่ายรัฐบาลมีมติที่จะทำประชามติเพื่อให้ประชาชนลงคะแนนเสียงตัดสิน ว่า รัฐบาลควรทำงานต่อไปหรือไม่นั้น ทางธุรกิจแล้วจะไม่มีการให้ผู้ถือหุ้นลงประชามติเพื่อรองรับคนที่บริหารงานแล้วไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่การแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่จะหาประธานใหม่หรือให้ผู้ถือหุ้นเลือกกลุ่มผู้บริหารชุดใหม่เท่านั้น
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ประเทศเสียเครดิตอย่างมาก นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ ไม่กล้าเข้ามาลงทุน ส่วนกรณีที่รัฐวิสาหกิจบางแห่งจะทำการตัดน้ำตัดไฟ หรือการประท้วงหยุดงานของการท่าเรือ ภาคเอกชนไม่เห็นด้วย เพราะจะกระทบภาพรวมของประเทศ และผลกระทบจะตามมามากมาย เช่น สินค้าส่งออกไม่ได้ คนตกงาน และปัญหาอื่นๆ จะตามมาอีกมากมาย อีกทั้งลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าก็จะหันไปซื้อประเทศอื่นแทน ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ
นายนานเดอ จีวอนเดอลูเฮ ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าวว่า เป็นห่วงสถานการณ์การเมืองไทย หากยืดเยื้อนักลงทุนก็จะไม่กล้าเข้ามาลงทุน และหันไปลงทุนประเทศอื่นแทน ขณะเดียวกัน นักลงทุนในไทยก็จะชะลอ เพราะไม่มั่นใจสถานการณ์ ซึ่งไม่ดีกับประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาต่างๆ และนำพาธุรกิจให้เข้มแข็ง และเห็นว่ารัฐบาลควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนกลับมา
นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมตัวแทนสมาชิกหอการค้าไทยทั่วประเทศ วานนี้ (4 ก.ย.) ว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอเสนอให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ ทันที เพราะการใช้ พ.ร.ก.ไม่ทำให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้น แต่มีผลเสียทำให้กระทบต่อการท่องเที่ยว การลงทุน และการส่งออก หากปล่อยให้ยืดเยื้อ ประเทศชาติอาจถึงขั้นล่มสลาย เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก
“รัฐบาลจะต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทันที และต้องหาทางให้เหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองจบลงโดยเร็ว เพราะประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต คงไม่ต้องประเมินว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้แค่ไหน แต่ต้องพูดว่าเหตุการณ์จะจบลงได้อย่างไร” นายดุสิต กล่าว ‘
ทั้งนี้ เสียงส่วนใหญ่ของผู้ประกอบการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสาเหตุทำให้ประเทศสูญเสียเครดิตลงเรื่อยๆ และเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา การที่รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยิ่งทำให้นักลงทุนต่างประเทศสูญเสียความเชื่อมั่น และหากเป็นเช่นนี้และยืดเยื้อ จะยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและถึงขั้นทำให้ต่างชาติหมดความน่าเชื่อถือ
ความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นมาแล้วหลายเดือน แต่ภาคธุรกิจยังสามารถประคับประคองมาได้ จนกระทั่งวันที่ 2 ก.ย.รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย ทำให้นักลงทุนต่างประเทศหมดความเชื่อมั่น และยิ่งยืดเยื้อก็จะถึงขั้นหมดความน่าเชื่อถือ
นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ถ้าเปรียบการบริหารรัฐบาลกับการบริหารธุรกิจ หากบริษัทประสบปัญหา หรือภาวะวิกฤตในการดำเนินธุรกิจ ความรับผิดชอบจะอยู่ที่ผู้บริหารและคณะผู้บริหารในการแก้ไขปัญหา หรือแสดงความรับผิดชอบ เพื่อให้เกิดผลดีกับบริษัท และหากปัญหานั้นไม่สามารถแก้ไขได้และมีความรุนแรงมากขึ้น ผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบและพิจารณาตนเอง หรือเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นคัดเลือกผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหา
“ในแง่ธุรกิจ ถ้าผู้บริหารแก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำงานไม่ได้ หรือเกิดการต่อต้านผู้บริหาร เขาจะพิจารณาตัวเอง ผู้ถือหุ้นก็ต้องมองหาผู้บริหารใหม่ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาและบริหารงาน หากมองการทำงานของรัฐบาล ก็ไม่แตกต่างกัน ต้องพิจารณาตัวเอง แต่ผมคงไม่กล้าให้คำแนะนำว่านายกรัฐมนตรีจะแก้ไขปัญหาอย่างไร” นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ฝ่ายรัฐบาลมีมติที่จะทำประชามติเพื่อให้ประชาชนลงคะแนนเสียงตัดสิน ว่า รัฐบาลควรทำงานต่อไปหรือไม่นั้น ทางธุรกิจแล้วจะไม่มีการให้ผู้ถือหุ้นลงประชามติเพื่อรองรับคนที่บริหารงานแล้วไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่การแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่จะหาประธานใหม่หรือให้ผู้ถือหุ้นเลือกกลุ่มผู้บริหารชุดใหม่เท่านั้น
นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า การที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้ประเทศเสียเครดิตอย่างมาก นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ ไม่กล้าเข้ามาลงทุน ส่วนกรณีที่รัฐวิสาหกิจบางแห่งจะทำการตัดน้ำตัดไฟ หรือการประท้วงหยุดงานของการท่าเรือ ภาคเอกชนไม่เห็นด้วย เพราะจะกระทบภาพรวมของประเทศ และผลกระทบจะตามมามากมาย เช่น สินค้าส่งออกไม่ได้ คนตกงาน และปัญหาอื่นๆ จะตามมาอีกมากมาย อีกทั้งลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าก็จะหันไปซื้อประเทศอื่นแทน ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ
นายนานเดอ จีวอนเดอลูเฮ ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าวว่า เป็นห่วงสถานการณ์การเมืองไทย หากยืดเยื้อนักลงทุนก็จะไม่กล้าเข้ามาลงทุน และหันไปลงทุนประเทศอื่นแทน ขณะเดียวกัน นักลงทุนในไทยก็จะชะลอ เพราะไม่มั่นใจสถานการณ์ ซึ่งไม่ดีกับประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลควรแก้ไขปัญหาต่างๆ และนำพาธุรกิจให้เข้มแข็ง และเห็นว่ารัฐบาลควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนกลับมา