“ดร.โกร่ง” แนะ ททท.ใช้วิกฤตเป็นโอกาส สบช่องค่าบาทอ่อน ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย เน้นตลาด จีน อินเดีย รัสเซีย ระบุ ทำใจ ราคาน้ำมันแพง วิกฤตซับไพรม์สหรัฐฯ ที่ยังไม่จบง่ายๆ ด้าน ททท.พร้อมรับมือ เฝ้าจับตาสถานการณ์
วานนี้ (25 ส.ค.) ในการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 หลักสูตร “การบริหารการตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้บริหารระดับสูง” จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และคณะพาณิชย์ศาสตร์การบัญชี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย โดย นายวีระพงษ์ รามางกูร ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาล กล่าวในเรื่องของ “ทิศทางการท่องเที่ยวไทยสู่ความเป็นเลิศ” ว่า ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจประเทศไทยและเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นความหวังสำคัญ ที่จะเข้ามาช่วยพยุงสถานะทางเศรษฐกิจได้ ประกอบกับขณะนี้ เงินบาทของไทยเริ่มอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 34.29 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ตรงนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน
ปัจจัยลบที่สำคัญยังเป็นเรื่องของปัญหาราคาน้ำมันแพง ประกอบกับวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มลุกลามเข้าไปในยุโรป และเตรียมขยายเข้ามาเอเชีย ที่อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวระยะไกลอาจลดจำนวนลงได้ ซึ่งมี 2 สาเหตุ คือ 1.นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทางระยะไกลหันมาเดินทางระยะใกล้ เพราะสายการบินปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน และ 2.การยกเลิกเส้นทางบินของสายการบิน เนื่องจากทนแบกภาระขาดทุนจากราคาน้ำมันไม่ไหว ดังนั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของตลาดนักท่องเที่ยว โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจาก อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น มีแนวโน้มลดลง ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจาก จีน อินเดีย รัสเซีย จะเดินทางเข้ามามากขึ้น เพราะทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว ขณะนี้เศรษฐกิจกำลังเติบโตดี โดยเฉพาะจีน ที่ขณะนี้ค่าเงินหยวนก็แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกายังไม่ถึงจุดต่ำสุด เพราะเป็นประเทศใหญ่ เศรษฐกิจจะขึ้นหรือลงต้องใช้เวลานาน เห็นได้จากขณะนี้สถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ในอเมริกา เริ่มขายทรัพย์สินและสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ไปลงทุนไว้ในต่างประเทศ เพราะต้องการดึงเงินดอลลาร์กลับเข้าประเทศให้มากที่สุด เพื่อนำมาเพิ่มทุนให้แก่บริษัท และเป็นเงินสำรองหนี้สูญ เป็นผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และมองว่า รัฐบาลสหรัฐฯไม่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้ ขณะที่ราคาน้ำมันน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว เพราะราคาที่ตลาดดูไบ และ เวสต์เทกซัส อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังต้องจับตาดูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์)
ทางด้าน นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการ ททท.กล่าวว่า ฤดูการท่องเที่ยว หรือ ไฮซีซัน ปีนี้ ไม่มีความกังวล เพราะนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศยังเดินทางเข้าประเทศไทยต่อเนื่อง เพราะมีการซื้อขายล่วงหน้ากันตั้งแต่ต้นปี โดยปีนี้มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากประเทศใหม่ๆ เช่น บัลแกเรีย และ เซอร์เบีย บินเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ และตลาดหลักที่ ททท.จะบุกนับจากนี้ไป คือ จีน อินเดีย และ ตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจดี อย่างไรก็ตาม ททท.จะเฝ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนแผนการทำงานได้ตลอดเวลา
วานนี้ (25 ส.ค.) ในการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 หลักสูตร “การบริหารการตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้บริหารระดับสูง” จัดโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และคณะพาณิชย์ศาสตร์การบัญชี จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย โดย นายวีระพงษ์ รามางกูร ประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจรัฐบาล กล่าวในเรื่องของ “ทิศทางการท่องเที่ยวไทยสู่ความเป็นเลิศ” ว่า ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจประเทศไทยและเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะชะลอตัว อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นความหวังสำคัญ ที่จะเข้ามาช่วยพยุงสถานะทางเศรษฐกิจได้ ประกอบกับขณะนี้ เงินบาทของไทยเริ่มอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 34.29 บาท ต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ตรงนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน
ปัจจัยลบที่สำคัญยังเป็นเรื่องของปัญหาราคาน้ำมันแพง ประกอบกับวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มลุกลามเข้าไปในยุโรป และเตรียมขยายเข้ามาเอเชีย ที่อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวระยะไกลอาจลดจำนวนลงได้ ซึ่งมี 2 สาเหตุ คือ 1.นักท่องเที่ยวชะลอการเดินทางระยะไกลหันมาเดินทางระยะใกล้ เพราะสายการบินปรับขึ้นค่าธรรมเนียมน้ำมัน และ 2.การยกเลิกเส้นทางบินของสายการบิน เนื่องจากทนแบกภาระขาดทุนจากราคาน้ำมันไม่ไหว ดังนั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของตลาดนักท่องเที่ยว โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจาก อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น มีแนวโน้มลดลง ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจาก จีน อินเดีย รัสเซีย จะเดินทางเข้ามามากขึ้น เพราะทั้ง 3 ประเทศดังกล่าว ขณะนี้เศรษฐกิจกำลังเติบโตดี โดยเฉพาะจีน ที่ขณะนี้ค่าเงินหยวนก็แข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกายังไม่ถึงจุดต่ำสุด เพราะเป็นประเทศใหญ่ เศรษฐกิจจะขึ้นหรือลงต้องใช้เวลานาน เห็นได้จากขณะนี้สถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ในอเมริกา เริ่มขายทรัพย์สินและสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่ไปลงทุนไว้ในต่างประเทศ เพราะต้องการดึงเงินดอลลาร์กลับเข้าประเทศให้มากที่สุด เพื่อนำมาเพิ่มทุนให้แก่บริษัท และเป็นเงินสำรองหนี้สูญ เป็นผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง และมองว่า รัฐบาลสหรัฐฯไม่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้ ขณะที่ราคาน้ำมันน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้ว เพราะราคาที่ตลาดดูไบ และ เวสต์เทกซัส อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังต้องจับตาดูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์)
ทางด้าน นางพรศิริ มโนหาญ ผู้ว่าการ ททท.กล่าวว่า ฤดูการท่องเที่ยว หรือ ไฮซีซัน ปีนี้ ไม่มีความกังวล เพราะนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศยังเดินทางเข้าประเทศไทยต่อเนื่อง เพราะมีการซื้อขายล่วงหน้ากันตั้งแต่ต้นปี โดยปีนี้มีเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากประเทศใหม่ๆ เช่น บัลแกเรีย และ เซอร์เบีย บินเข้ามาในช่วงปลายปีนี้ และตลาดหลักที่ ททท.จะบุกนับจากนี้ไป คือ จีน อินเดีย และ ตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศที่เศรษฐกิจดี อย่างไรก็ตาม ททท.จะเฝ้าดูสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาปรับเปลี่ยนแผนการทำงานได้ตลอดเวลา
