แบงก์กรุงเทพคาดแนวโน้มสภาพคล่องเดือนส.ค.ยังตึงตัวต่อเนื่อง จากยอดปล่อยสินเชื่อที่สูงกว่าการขยายตัวของเงินฝาก ส่งผลให้แบงก์ยังคงต้องระดมเงินฝากต่อ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มอีก 0.25-0.50%ในช่วงที่เหลือปี จากเงินเฟ้อที่สูง
ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)ประเมินแนวโน้มภาวะการเงินในเดือนสิงหาคม 2551 คาดสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มตึงตัวขึ้น ปัจจัยสำคัญมากจากการขยายตัวของสินเชื่อที่สูงกว่าการขยายตัวของเงินฝาก โดยเฉพาะสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ การที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องการสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์จึงมีการแข่งขันกันระดมเงินฝากอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่อ
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการ "6 เดือน 6 มาตรการฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคน" ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อทั่วไปลดลงถึงประมาณร้อยละ 2-3 ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า แต่ก็จะมีผลทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นหลังจากมาตรการสิ้นสุดลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ดังนั้น จึงไม่ได้ช่วยลดการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตของผู้บริโภคและภาคธุรกิจลง กนง. จึงอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกประมาณร้อยละ 0.25-0.50 ในช่วงที่เหลือของปี
ทั้งนี้ เงินฝากเฉพาะธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง ในเดือน มิ.ย. 2551 มี 6,059.3 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และหากเปรียบเทียบเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง พบว่าธนาคารที่มีเงินฝากขยายตัวสูงสุด คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ขยายตัวร้อยละ 8.5 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งได้ออกโครงการเงินฝากก้าวกระโดด (15 เดือน) ระหว่างวันที่ 18 มิ.ย.-31 ก.ค. 2551 อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ร้อยละ 2.75 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 ทุก 3 เดือน และเพิ่มร้อยละ 0.50 ใน 3 เดือนสุดท้ายเป็นร้อยละ 4.0 ต่อปี รองลงมาได้แก่ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพขยายตัวร้อยละ 6.3 และ 1.3 ตามลำดับ ส่วนธนาคารกรุงไทยและธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีเงินฝากลดลงร้อยละ 0.2 และ 8.1 ตามลำดับ
ด้านสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง ในเดือน มิ.ย. 2551 มี 5,610.8 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หากพิจารณาเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง พบว่า ธ. กสิกรไทย สินเชื่อขยายตัวสูงสุดร้อยละ 23.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รองลงมาได้แก่ ธ. กรุงเทพ ธ. ไทยพาณิชย์ ธ. กรุงไทย และ ธ. กรุงศรีอยุธยา ขยายตัวร้อยละ 22.3 19.3 12.4 และ 6.7 ตามลำดับ
ฝ่ายวิจัย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)ประเมินแนวโน้มภาวะการเงินในเดือนสิงหาคม 2551 คาดสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มตึงตัวขึ้น ปัจจัยสำคัญมากจากการขยายตัวของสินเชื่อที่สูงกว่าการขยายตัวของเงินฝาก โดยเฉพาะสินเชื่อที่ให้แก่ภาคธุรกิจ การที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องการสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น ธนาคารพาณิชย์จึงมีการแข่งขันกันระดมเงินฝากอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการขยายตัวของสินเชื่อ
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการ "6 เดือน 6 มาตรการฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคน" ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อทั่วไปลดลงถึงประมาณร้อยละ 2-3 ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า แต่ก็จะมีผลทำให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นหลังจากมาตรการสิ้นสุดลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ดังนั้น จึงไม่ได้ช่วยลดการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตของผู้บริโภคและภาคธุรกิจลง กนง. จึงอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกประมาณร้อยละ 0.25-0.50 ในช่วงที่เหลือของปี
ทั้งนี้ เงินฝากเฉพาะธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง ในเดือน มิ.ย. 2551 มี 6,059.3 พันล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และหากเปรียบเทียบเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง พบว่าธนาคารที่มีเงินฝากขยายตัวสูงสุด คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ขยายตัวร้อยละ 8.5 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งได้ออกโครงการเงินฝากก้าวกระโดด (15 เดือน) ระหว่างวันที่ 18 มิ.ย.-31 ก.ค. 2551 อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ร้อยละ 2.75 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 ทุก 3 เดือน และเพิ่มร้อยละ 0.50 ใน 3 เดือนสุดท้ายเป็นร้อยละ 4.0 ต่อปี รองลงมาได้แก่ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพขยายตัวร้อยละ 6.3 และ 1.3 ตามลำดับ ส่วนธนาคารกรุงไทยและธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีเงินฝากลดลงร้อยละ 0.2 และ 8.1 ตามลำดับ
ด้านสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ไทย 17 แห่ง ในเดือน มิ.ย. 2551 มี 5,610.8 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หากพิจารณาเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่ง พบว่า ธ. กสิกรไทย สินเชื่อขยายตัวสูงสุดร้อยละ 23.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รองลงมาได้แก่ ธ. กรุงเทพ ธ. ไทยพาณิชย์ ธ. กรุงไทย และ ธ. กรุงศรีอยุธยา ขยายตัวร้อยละ 22.3 19.3 12.4 และ 6.7 ตามลำดับ
