xs
xsm
sm
md
lg

ผลประกอบการแบงก์Q2ยังรุ่ง จับตาครึ่งปีหลังยอดสินเชื่อตก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผลประกอบการแบงก์ไตรมาส 2 ยังไปได้สวย ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่"กรุงไทย-ไทยพาณิชย์"นำโด่งกำไรโต 285% และ 35%ตามลำดับ บิ๊กไทยพาณิชย์ยังพร้อมลุยธุรกิจต่อแม้ภาวะเศรษฐกิจจะยังมีความเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่"ทหารไทย-กรุงศรี"พลิกกำไร ชี้ครึ่งปีหลังสินเชื่อชะลอแต่ยังคงเป้าหมายไว้เท่าเดิม คาด กนง.เตรียมขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อยในไตรมาส 2 ของปี 2551 มีกำไรสุทธิ 4,270 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.78 บาท เทียบกับผลประกอบการในช่วงเดียวกันของปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิ 4,088 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น 1.71 บาท เท่ากับมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 4.45% และ มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 4.09%

สำหรับผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2551 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 8,708 ล้านบาทกำไรต่อหุ้น 3.64 บาทเปรียบเทียบกับผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิ 7,964 ล้านบาทและมีกำไรต่อหุ้น 3.34 บาท เท่ากับมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 9.34% และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 8.98%

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 1,073,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 31 ธันวาคม 2550 จำนวน 7.94% มีเงินให้สินเชื่อ 844,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.73% และมีเงินฝากรวม 837,129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.8% มีเงินกองทุนต่อ สินทรัพย์เสี่ยงที่ 14.34% แบ่งเป็นเงินกองทุนชั้นที่หนึ่ง 10.33% เงินกองทุนชั้นที่สอง 4.01% และมีสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Gross) เท่ากับ 4.18% มีสินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิ (NPL Net) 2.15%

**SCBกำไรพุ่งพร้อมรุกต่อครึ่งปีหลัง**

รายงานข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB)แจ้งผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 มีกำไรสุทธิที่ 5,818 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 35% เทียบกับไตรมาส 2/2550 นับเป็นกำไรประจำไตรมาสที่อยู่ในระดับสูงและต่อเนื่องมาจากไตรมาสแรก กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งนี้ มาจากยุทธศาสตร์การให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร (Universal Banking) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักที่ธนาคารใช้ในการดำเนินการในหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลถึงการปรับตัวดีขึ้นอย่างเด่นชัดในรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และ การบริหารค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 19%จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากการปรับตัวดีขึ้นในส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจาก 3.92% ในไตรมาส 2/2551 เทียบกับ 3.63% ในไตรมาส 2/2550 ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ และการบริหารต้นทุนเงินฝากอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้นยังเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่อที่ยังเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

นอกจากข้างต้นแล้ว ธนาคารยังมุ่งลดสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ผ่านวิธีการต่างๆ ในหลายไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้ NPL ณ สิ้นไตรมาส 2/2551 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.3% เทียบกับ 8.0% ณ สิ้นไตรมาส 2/2550

นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ให้ความเห็นต่อผลประกอบการที่เกิดขึ้นใน 2 ไตรมาสแรกของปี 2551 ว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การเงินที่แปรปรวนของประเทศไทยและทั่วโลก ผลประกอบการของธนาคารที่ออกมาถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก การที่ธนาคารสามารถแสดงผลกำไรในระดับสูงตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านต่างๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะการนำรูปแบบการทำธุรกิจของธนาคารที่ให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร (Universal Bank) มาใช้เป็นยุทธศาสตร์หลัก”

นอกจากนี้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องสะท้อนถึงสถานภาพที่พร้อมของธนาคารไทยพาณิชย์ในการทำธุรกิจเชิงรุกไปในอนาคตซึ่งมีความท้าทายและความยากลำบากมากขึ้น

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า การที่ธนาคารมีผลงานที่ดีและต่อเนื่องท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจและธุรกิจที่เปราะบางเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและคุณภาพชั้นเยี่ยมของเครือข่ายบริการของธนาคาร ซึ่งเป็นผลมาจากการมีบริการที่ครบวงจรและดีเยี่ยม การที่ลูกค้ามีความผูกพันในผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารในระดับสูง รวมถึงความมุ่งมั่นในการทำงานของพนักงาน ดังนั้น แม้ว่า สถานการณ์ต่างๆ จะยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ธนาคารเชื่อมั่นว่าธนาคารมีความพร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ตลอดจนอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่งพร้อมขยายธุรกิจเมื่อทุกอย่างปรับตัวดีขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดคืนแก่ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และสังคม”

**กรุงศรีฯโชว์กำไรโต 94%**

นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2551 ว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,002 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% เมื่อเทียบจากไตรมาส 1/2551 และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 8,955, ล้านบาท จากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ IAS39 โดยรายการหลักที่ส่งผลให้การดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปรับปรุงดีขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนได้แก่ รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้น 45% รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 48% ขณะที่รายจ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าคือ 8%

นอกจากนี้ธนาคารยังมีความคืบหน้าด้านการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์จากการจำหน่ายหนี้ที่ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารในไตรมาสนี้ ปรับตัวดีขึ้นตามแผนงานที่วางไว้ โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามงบการเงินรวมเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2550 ลดลงสุทธิ 5,723 ล้านบาท มาอยู่ที่ระดับ 64,910 ล้านบาท คิดเป็น 11.1% จาก 15.5% ของสินเชื่อรวม โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net NPL) อยู่ที่ระดับ 7.1% จาก 10.2% ณ สิ้นปี 2550

นอกจากนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายลดสัดส่วน Net NPLให้เหลือต่ำกว่า 58,000 ล้านบาท หรือลงเหลือ 5 - 5.5% โดยธนาคารตั้งเป้าจะขาย NPL ออกไป 10,000 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง ซึ่งการขาย NPL ดังกล่าวจะไม่กระทบกับกำไรของธนาคาร เพราะธนาคารได้ใช้เงินสำรองที่มีอยู่แล้ว

สำหรับผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2551 ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและภาษี) จำนวน 6,353 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเมื่อหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารมีกำไรสุทธิ 3,033 ล้านบาท ปรับปรุงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากงวดเดียวกันของปี 2550 อย่างไรก็ตามธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ในระดับที่แข็งแกร่งคือ 17.4% โดยเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) 13.1%

นายตัน กล่าวว่า ในครึ่งปีแรกธนาคารขาดทุนจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ที่มีสินทรัพย์อ้างอิง (CDO) จำนวน 1,451 ล้านบาท หรือคิดเป็น 51% ของราคา CDO ที่ลงทุน จากทั้งหมดที่ลงทุนไป 85 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคิดเป็น 0.4% ของสินทรัพย์ของธนาคาร อย่างไรก็ตาม การขาดทุนดังกล่าวเป็นไปตามการตีมูลค่าตามตลาด (Mark to Market) ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ธนาคารก็มีแผนที่จะถือครอง CDO ไปจนครบกำหนดไถ่ถอนงวดสุดท้ายในปี 2555 และธนาคารก็จะได้รับเงินทุนครบทั้งจำนวน นอกจากนี้ปัจจุบันธนาคารยังได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าวอ้างอิงดอกเบี้ย LIBOR+ 1.56%

**แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง**

นายตัน กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังธนาคารมีเป้าหมายจะปล่อยสินเชื่อให้ได้อีก 28,000 ล้านบาท โดยสินเชื่อที่จะขยายตัวมากคือส่วนของสินเชื่อรายใหญ่ สำหรับสินเชื่อเอสเอ็มอีและรายย่อยก็จะยังมีการเติบโตที่ดี ซึ่งจะทำให้สินเชื่อในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 124,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกนั้นสามารถปล่อยสินเชื่อไปได้แล้ว 95,600 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อเช่าซื้อจากบริษัทจีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GECAL ที่ธนาคารได้ซื้อกิจการ เข้ามา อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีหลังคาดว่าสินเชื่อจะชะลอกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่ธนาคารจะมีความระมัดระวังเรื่องการปล่อยสินเชื่อเป็นสำคัญ โดยจะมีการเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ

ทั้งนี้ธนาคารคาดว่าในสิ้นปีนี้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2% จากครึ่งปีแรกที่อยู่ 3.86% ซึ่งถือว่าเติบโตขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่อยู่ 3.09% โดยธนาคารจะเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยให้มากขึ้นและระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่และเอสเอ็มอี ซึ่งธนาคารมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเป็น 50% ในปี 2553 และลดสัดส่วนรายใหญ่และเอสเอ็มอีรวมกัน 50% จากปัจจุบันที่สินเชื่อรายย่อยอยู่ 35% และสินเชื่อรายใหญ่อยู่ที่ 30% ส่วนเอสเอ็มอี 35%

**ชี้กนง.จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%**

นายตัน กล่าวว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดโลก ราคาอาหารที่มีการปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงการเมืองในประเทศไทย ได้ส่งผลให้มีความมั่นใจของนักธุรกิจและประชาชนลดลง และอุปสงค์ในประเทศที่ลดลงก็เกิดจากความเชื่อมั่นที่ลดลงและคาดว่าราคาน้ำมันที่ยังสูงอาจจะมีผลต่อดุลบัญชีเดินสะพัด อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยบวกที่มาช่วยก็คือการท่องเที่ยว รวมถึงราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มดีขึ้น

อย่างไรก็ตามภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจว่า จากภาวะดังกล่าวเป็นปัจจัยที่สร้างความลำบากต่อการดำเนินนโยบายดอกเบี้ย แต่มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) เตรียมจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในครึ่งหลังของปีนี้ หลังจากที่ล่าสุดปรับขึ้นไปแล้ว 0.25% ในวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ของกนง.ล่าสุดจะช่วยลดปัญหาเงินเฟ้อได้ในระยะสั้น ซึ่งในภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเชื่อว่าธปท.จะแก้ปัญหาในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนดอกเบี้ยของธนาคารนั้นยืนยันว่าจะไม่ใช่ผู้นำในการปรับขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 4.5-5.2% และเงินเฟ้อจะอยู่ในกรอบ 7.5-8%
กำลังโหลดความคิดเห็น