เอสโซ่ นำร่องขึ้นราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 50 สต.เช้าพรุ่งนี้ ดันราคา แตะ 35.74 บาท สูงกว่าดีเซลของ ปตท.1.30 บ./ลิตร หอการค้า เชื่อน้ำมันในประเทศแตะ 40 บาทแน่ๆ แนะแบงก์ชาติคุมค่าเงินบาทให้นิ่ง ชี้ ระดับ 31.50-32.50 บาท/ดอลลาร์ เหมาะสมที่สุด
วันนี้ (15 พ.ค.) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศอีกลิตรละ 50 สตางค์ โดยให้มีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น.วันพรุ่งนี้ เนื่องจากค่าการตลาดติดลบ ส่งผลให้ราคาดีเซลของเอสโซ่พุ่งแตะลิตละ 35.74 บาท/ลิตร ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สูงกว่าของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ถึงลิตรละ 1.30 บาท
การประกาศปรับขึ้นราคาในครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันขายปลีกของปั๊มเอสโซ่ ในเขตกรุงเทพฯ และมณฑล ของเอสโซ่วันพรุ่งนี้จะเป็นดังนี้ ราคาดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 35.74 บาท ขณะที่เชล์อยู่ที่ลิตรละ 35.24 บาท ส่วน ปตท.และบางจาก อยู่ที่ลิตรละ 34.44 บาท
ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน เท่ากับ ปตท.และบางจาก โดยเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 38.09 บาท, เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 36.99 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ลิตรละ 34.09 บาท
**หอการค้าฯ แนะคุมเงินบาทให้นิ่ง
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ราคาน้ำมันขายปลีกภายในประเทศอาจขยับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 38-43 บาทต่อลิตร ภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อยู่ที่ 120-130 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ หากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถดูแลอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทให้อยู่ที่ระดับ 31.50 - 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็จะทำให้ราคาน้ำมันไม่มีปัญหามาก ขณะที่ยังช่วยสนับสนุนการส่งออกได้ดี
นอกจากนี้ นายธนวรรธ์ ยังมองว่า ค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรอยู่ที่ระดับ 31-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักลงทุนหันมาเก็งกำไรในน้ำมันมากกว่าทองคำ หรือหุ้น เนื่องจากได้ผลตอบแทนสูงกว่า
**ค่าเงินบาทวันนี้ แข็งขึ้นเล็กน้อย
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.37/40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากช่วงเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 32.41/43 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น
“วันนี้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเรามาก จนตลาดหุ้นปิดเป็นบวก พอมีต่างชาติเข้ามาลงทุนก็ทำให้บาทยิ่งแข็งค่าขึ้น”
ทั้งนี้ นักบริหารเงินเชื่อว่า เงินทุนที่ไหลเข้าเป็นผลสืบเนื่องจากทางการสหรัฐฯประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือน เม.ย.ที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.2% ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% ทำให้นักลงทุนสหรัฐคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่ฟื้นตัว จึงเทขายดอลลาร์ออกมา