รมว.คลัง ประกาศดูแลเศรษฐกิจไทยให้โต 6% ทุกไตรมาส ชี้ ราคาน้ำมันตลาดโลก แตะ 120 ดอลลาร์/บารเรล ยังไม่น่าตกใจ ประกาศเน้นเพิ่มโครงสร้างรายได้ให้ประชาชน พร้อมเชื่อดอกเบี้ยติดลบ หากเทียบเงินเฟ้อ ไม่ใช่ปัญหาด้านอุปสงค์ จึงไม่น่าห่วง
วันนี้ (8 พ.ค.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้มีอัตราการขยายตัว 6% ในทุกไตรมาส หลังจากที่มั่นใจว่าไตรมาส 1/51 เติบโตได้สูงถึง 6% เป็นผลจากที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนมั่นใจในการใช้จ่าย ขณะที่ภาคเอกชนขยายการลงทุนมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นไม่มาก
“ภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เหลืออีก 3 ไตรมาส จะโตได้ถึง 6% หรือไม่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศมาตรการต่างๆ รองรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ซึ่งจะทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้นและทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นในส่วนของภาคเอกชนที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นตาม”
สำหรับไตรมาส 1/51 ที่แม้จีดีพีโตได้ 6% นั้น แต่ก็ถือว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงที่ 4-5% และเริ่มสูงขึ้นอีกในเดือน เม.ย.ซึ่งเป็นช่วงที่เข้าไตรมาส 2 ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ทำให้เห็นว่าในอนาคตแนวโน้มราคาสินค้าต้องสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ประชาชนรู้สึกว่าต้องประหยัดมากขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำต่อไปคือการออกมาตรการเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนตามค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นมาตรการที่รัฐบาลจะออกมาควบคู่กับการดูแลเงินเฟ้อ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ใช้วิธีควบคุมราคาสินค้าหรือบิดเบือนโครงสร้างราคา ขณะที่จะออกมาตรการด้านการประหยัดพลังงานควบคู่กันโดยส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า มาตรการที่รัฐบาลออกมาจะมีเป้าหมาย เพื่อรักษาจีดีพีให้ได้ 6% ทุกไตรมาส โดยเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนได้มากขึ้น
ส่วนที่กังวลกันว่าอัตราดอกเบี้ยจะติดลบเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องนั้น เรื่องนี้รัฐบาลพยายามดูแลไม่ให้เงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงอยู่ในขณะนี้สาเหตุมาจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นไม่ใช่ต้นทุนจากอุปสงค์ ขณะที่เรื่องอัตราดอกเบี้ยติดลบนั้นได้หารือกันในเบื้องต้นแล้วกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ยังไม่เกิดปัญหานี้
อย่างไรก็ตาม เห็นว่า ราคาน้ำมันที่สูงถึง 120 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และอยู่บนพื้นฐานที่ได้มีการประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจ ขณะที่การดูแลอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลได้ติดตามอย่างใกล้ชิด
วันนี้ (8 พ.ค.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลจะพยายามรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้มีอัตราการขยายตัว 6% ในทุกไตรมาส หลังจากที่มั่นใจว่าไตรมาส 1/51 เติบโตได้สูงถึง 6% เป็นผลจากที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนมั่นใจในการใช้จ่าย ขณะที่ภาคเอกชนขยายการลงทุนมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้นไม่มาก
“ภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เหลืออีก 3 ไตรมาส จะโตได้ถึง 6% หรือไม่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศมาตรการต่างๆ รองรับการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ซึ่งจะทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้นและทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นในส่วนของภาคเอกชนที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นตาม”
สำหรับไตรมาส 1/51 ที่แม้จีดีพีโตได้ 6% นั้น แต่ก็ถือว่าเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงที่ 4-5% และเริ่มสูงขึ้นอีกในเดือน เม.ย.ซึ่งเป็นช่วงที่เข้าไตรมาส 2 ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่เริ่มสูงขึ้นเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ทำให้เห็นว่าในอนาคตแนวโน้มราคาสินค้าต้องสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ประชาชนรู้สึกว่าต้องประหยัดมากขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำต่อไปคือการออกมาตรการเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนตามค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นมาตรการที่รัฐบาลจะออกมาควบคู่กับการดูแลเงินเฟ้อ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่ใช้วิธีควบคุมราคาสินค้าหรือบิดเบือนโครงสร้างราคา ขณะที่จะออกมาตรการด้านการประหยัดพลังงานควบคู่กันโดยส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า มาตรการที่รัฐบาลออกมาจะมีเป้าหมาย เพื่อรักษาจีดีพีให้ได้ 6% ทุกไตรมาส โดยเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนได้มากขึ้น
ส่วนที่กังวลกันว่าอัตราดอกเบี้ยจะติดลบเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องนั้น เรื่องนี้รัฐบาลพยายามดูแลไม่ให้เงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงอยู่ในขณะนี้สาเหตุมาจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นไม่ใช่ต้นทุนจากอุปสงค์ ขณะที่เรื่องอัตราดอกเบี้ยติดลบนั้นได้หารือกันในเบื้องต้นแล้วกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ยังไม่เกิดปัญหานี้
อย่างไรก็ตาม เห็นว่า ราคาน้ำมันที่สูงถึง 120 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และอยู่บนพื้นฐานที่ได้มีการประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจ ขณะที่การดูแลอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลได้ติดตามอย่างใกล้ชิด