พาณิชย์ ยังไม่สามารถเปิดขายปุ๋ยราคาถูก 1.5 แสนตัน ได้ตามที่ประกาศไว้ เพราะไม่มีรายชื่อเกษตรกร ระบุ เกษตรกรต้องใช้เงินสดซื้อทันที ขณะที่นายกสมาคมค้าปุ๋ย เตือนระวังนายทุนแอบเก็งกำไร
วันนี้ (21 เม.ย.) มีรายงานข่าวความคืบหน้าภายหลังจากที่รัฐบาลจัดทำโครงการปุ๋ยเคมีราคาถูก โดยการนำเข้าจำนวน 1.5 แสนตัน เพื่อจำหน่ายให้กับเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อน โดยกระทรวงพาณิชย์ ประกาศว่า จะเริ่มเปิดจำหน่ายให้เกษตรกรวันนี้ เป็นวันแรกนั้น นางสาวสุพัตรา ธนเสรีวัฒน์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถดำเนินการได้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด เพราะจะต้องตรวจสอบรายชื่อและจำนวนเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีพื้นที่ทำการเกษตร รายละไม่เกิน 20 ไร่ ให้ชัดเจนอีกครั้ง โดยจะช่วยเหลือรายที่มีพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ก่อน
ขณะนี้ รัฐบาลกำลังรอคำยืนยันจากสหกรณ์การเกษตร ที่สนใจจะขอซื้อปุ๋ยเคมีในโครงการ ประมาณ 400 แห่ง จากทั้งหมด 3,000 แห่ง เพราะจะต้องซื้อเป็นเงินสด เพื่อจ่ายเงินคืนให้ผู้ค้าปุ๋ยเคมีที่เข้าร่วมโครงการทันที
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เตรียมเงินสำรองไว้ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้สหกรณ์การเกษตรกู้ยืมแล้ว คาดว่าจะจัดสรร และจำหน่ายปุ๋ยเคมีให้เกษตรกรได้ต้นเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกษตรกรต้องใช้ปุ๋ยเคมีบำรุงต้นพืชพอดี
นอกจากนี้ การประเมินเบื้องต้นยังพบว่า ชาวนาให้ความสนใจซื้อปุ๋ยล็อตนี้ไม่มากนัก เพราะราคาขายต่ำกว่าปุ๋ยท้องตลาดเพียงตันละ 300 - 500 บาทเท่านั้น และยังต้องซื้อในรูปของเงินสด โดยสหกรณ์การเกษตรจะต้องนำเงินสดมาซื้อและขนเองจากคลังสินค้า และค่อยไปเก็บเงินจากสมาชิกซึ่งเป็นชาวนา จึงเสี่ยงกับการขาดทุนได้
ขณะที่ปุ๋ยซึ่งจำหน่ายทั่วไป ก็มีราคาไม่ต่างจากนี้เท่าไรนัก และยังชำระเงินภายหลังได้ด้วย ส่วนการกระจายปุ๋ยไปยังชาวนาคาดว่าเป็นต้นเดือนหน้า เนื่องจากขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อจากชาวนาที่ต้องการปุ๋ย
นายหนูจีน จำปาแดง ชาวนา จ.ขอนแก่น บอกว่า ชาวนาหลายคนไม่สามารถซื้อปุ๋ยราคาถูกได้ เมื่อเทียบกับที่ผ่านมามีการซื้อด้วยเครดิต หรือกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. โดยจ่ายค่าปุ๋ยไปก่อน เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วจึงค่อยนำเงินไปใช้คืนในภายหลัง
นายเปล่งศักดิ์ ประกาศเภสัช นายกสมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย กล่าวว่า ได้เตรียมปุ๋ยเคมีไว้จำหน่ายให้เกษตรกร 12 สูตร เป็นปุ๋ยสำหรับบำรุงต้นข้าว 80 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นปุ๋ยสำหรับบำรุงไม้ดอก และพืชชนิดอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลทำสัญลักษณ์ที่ถุงปุ๋ย ว่า เป็นปุ๋ยในโครงการลดราคา หรือปุ๋ยธงฟ้า และตรวจสอบคุณสมบัติเกษตรกรให้ชัดเจนก่อนขาย เพื่อป้องกันนายทุนกว้านซื้อเพื่อขายต่อ