เศรษฐกิจแย่ไส้กรอกอีซี่ส์ มองเป็นโอกาส ทุ่ม 20 ล้านสานต่อธุรกิจ ผุดสาขารูปแบบ อีซี่ส์ คิทเช่น ในฟู้ดคอร์ท อีก 15-20 สาขา ปีนี้ หลังพบได้รับการตอบดี พร้อมทดลอง อีซี่ส์ คีออส รูปแบบฟาสต์ฟู้ดส์ขายไส้กรอกคู่เฟร้นชฟราย หวังขยายโมเดลเหมือนมิสเตอร์โดนัทในอนาคต คาดยอดขายโตขึ้น 30% หรือมีรายได้กว่า 130 ล้านบาทในปีนี้
นายสุภัค หมื่นนิกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซี่ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล แฟรนไชส์ จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 30-50% ในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้บริษัทฯต้องมีการปรับราคาสินค้าขึ้น 10-15% ตั้งแต่ต้นปี พร้อมกับต้องมีการจัดกิจกรรมเสริม จำนวนสินค้าคู่กับสินค้าอื่น รวมทั้งบริษัทฯยังมีการจัดการด้านการบริหารภายในองค์กร จึงทำให้ยังคงมียอดขายตามเป้า
ล่าสุด ปีนี้ จากที่พบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความมั่นใจในเศรษฐกิจมากขึ้น และพร้อมจะจ่ายในส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นมากกว่านั้น ทางบริษัทจึงต้องมีการปรับกลยุทธ์ในการขายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเมนูอาหารต้องมีอย่างอื่นเข้าทดแทน หรือเพิ่มให้กับลูกค้า รวมถึงการขยายสาขาในแต่ละโมเดลร้านค้าที่เปิดให้บริการอยู่ มั่นใจว่า ทั้งปีบริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 30% คิดเป็นมูลค่ากว่า 130 ล้านบาท จาก 100 ล้านบาทในปีก่อน
ขณะเดียวกัน ปีนี้ทางบริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 20 ล้านบาท สำหรับใช้ทำตลาดและลงทุนเปิดสาขาเพิ่ม โดยแบ่งออกเป็น 3 ล้านบาท สำหรับขยายสาขาโมเดล อีซี่ส์ คิทเช่น โดยปีนี้คาดว่าจะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 15-20 สาขา โดยแต่ละสาขาคาดว่า จะอยู่ที่ 5 แสนบาท พร้อมทั้งจะมีการเพิ่มเมนูให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งโมเดล อีซี่ส์ คิทเช่นนี้ เป็นร้านอาหารที่ทดลองเปิดในฟู้ดคอร์ท ของโมเดิร์นเทรดใน คาร์ฟูร์ และ ท็อปส์ ในปีก่อนจำนวน 10 สาขา พบว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ ในส่วนของโมเดลอีซี่ส์ สปอต ที่เป็นระบบแฟรนไชส์ จากที่มีอยู่ 50 จุด ปีนี้จะขยายเพิ่มเป็น 150 จุด โดยการลงทุนดังกล่าวผู้ซื้อแฟรนไชส์จะลงทุนไม่เกิน 25,000 บาท (แบบครบชุด) หรือเฉพาะการเช่าซื้อเคาน์เตอร์เพียงเดือนละ 1,500 บาท พร้อมเงินประกันอีกปีละ 30,000 บาท
ล่าสุด ปีนี้บริษัทยังได้พัฒนารูปแบบสาขาใหม่เพิ่ม ในลักษณะของ อีซี่ส์ คีออส ที่จะเปิดค้าปลีกใหม่ที่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ของเทสโก้ โลตัส ในชื่อ โอเอซิส ซึ่งเปิดสาขาแรกไปแล้วที่จังหวัดนนทบุรี ซึ่งโมเดลใหม่นี้จะจำหน่ายไส้กรอกคู่กับเฟร้นชฟราย และแฮมเบอร์เกอร์ จากที่ขายไส้กรอกเป็นชิ้น จะขายเป็นชุดเหมือนกับร้านมิสเตอร์โดนัท หรือแดรี่ควีน ซึ่งจะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น จากเดิมที่เน้นกลุ่มครอบครัว ซึ่งภายใน 3 เดือน หากพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี พร้อมที่จะขยายสาขาเพิ่มเช่นกัน
นายสุภัค หมื่นนิกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซี่ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล แฟรนไชส์ จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 30-50% ในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้บริษัทฯต้องมีการปรับราคาสินค้าขึ้น 10-15% ตั้งแต่ต้นปี พร้อมกับต้องมีการจัดกิจกรรมเสริม จำนวนสินค้าคู่กับสินค้าอื่น รวมทั้งบริษัทฯยังมีการจัดการด้านการบริหารภายในองค์กร จึงทำให้ยังคงมียอดขายตามเป้า
ล่าสุด ปีนี้ จากที่พบว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความมั่นใจในเศรษฐกิจมากขึ้น และพร้อมจะจ่ายในส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นมากกว่านั้น ทางบริษัทจึงต้องมีการปรับกลยุทธ์ในการขายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของเมนูอาหารต้องมีอย่างอื่นเข้าทดแทน หรือเพิ่มให้กับลูกค้า รวมถึงการขยายสาขาในแต่ละโมเดลร้านค้าที่เปิดให้บริการอยู่ มั่นใจว่า ทั้งปีบริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 30% คิดเป็นมูลค่ากว่า 130 ล้านบาท จาก 100 ล้านบาทในปีก่อน
ขณะเดียวกัน ปีนี้ทางบริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้กว่า 20 ล้านบาท สำหรับใช้ทำตลาดและลงทุนเปิดสาขาเพิ่ม โดยแบ่งออกเป็น 3 ล้านบาท สำหรับขยายสาขาโมเดล อีซี่ส์ คิทเช่น โดยปีนี้คาดว่าจะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 15-20 สาขา โดยแต่ละสาขาคาดว่า จะอยู่ที่ 5 แสนบาท พร้อมทั้งจะมีการเพิ่มเมนูให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งโมเดล อีซี่ส์ คิทเช่นนี้ เป็นร้านอาหารที่ทดลองเปิดในฟู้ดคอร์ท ของโมเดิร์นเทรดใน คาร์ฟูร์ และ ท็อปส์ ในปีก่อนจำนวน 10 สาขา พบว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ ในส่วนของโมเดลอีซี่ส์ สปอต ที่เป็นระบบแฟรนไชส์ จากที่มีอยู่ 50 จุด ปีนี้จะขยายเพิ่มเป็น 150 จุด โดยการลงทุนดังกล่าวผู้ซื้อแฟรนไชส์จะลงทุนไม่เกิน 25,000 บาท (แบบครบชุด) หรือเฉพาะการเช่าซื้อเคาน์เตอร์เพียงเดือนละ 1,500 บาท พร้อมเงินประกันอีกปีละ 30,000 บาท
ล่าสุด ปีนี้บริษัทยังได้พัฒนารูปแบบสาขาใหม่เพิ่ม ในลักษณะของ อีซี่ส์ คีออส ที่จะเปิดค้าปลีกใหม่ที่เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ของเทสโก้ โลตัส ในชื่อ โอเอซิส ซึ่งเปิดสาขาแรกไปแล้วที่จังหวัดนนทบุรี ซึ่งโมเดลใหม่นี้จะจำหน่ายไส้กรอกคู่กับเฟร้นชฟราย และแฮมเบอร์เกอร์ จากที่ขายไส้กรอกเป็นชิ้น จะขายเป็นชุดเหมือนกับร้านมิสเตอร์โดนัท หรือแดรี่ควีน ซึ่งจะมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น จากเดิมที่เน้นกลุ่มครอบครัว ซึ่งภายใน 3 เดือน หากพบว่าได้รับการตอบรับที่ดี พร้อมที่จะขยายสาขาเพิ่มเช่นกัน
