ชิเซโด้ ชู 3 กลยุทธ์ ก้าวสู่ตลาดโลกชนแบรนด์ดัง ลั่นลุยขยายประเทศ และเซกเมนต์เติบโตสูงเต็มสูบ หลังรายได้ในประเทศหดตัวลง ชี้ เทรนด์ตลาดเครื่องสำอาง-สกินแคร์ทั่วโลกยังสดใส โชว์ผลประกอบการปี 50 กวาด 725 พันล้านเยน โต 4.4% ส่วนไทยยังเป็นตลาดเรือธงสร้างรายได้สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดปีนี้ตลาดไทยยังโต 5% จ่อคิวปั้นแบรนด์อื่นเป็นขาที่ 2 เสริมทัพชิเซโด
นายคาร์สเทน ฟิชเชอร์ หัวหน้าผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารงานฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ชิเซโด้ ประเทศญี่ปุ่น จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายของชิเซโด้วางเป้าหมายจะก้าวสู่ตลาดโลกในเชิงรุกมากขึ้น โดยมุ่งเน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การบริการด้านความงามเปรียบเสมือนเป็นเจ้าบ้าน และตอกย้ำแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการนำเสนอแบรนด์ใหม่ๆ เพื่ออุดช่องว่างทางการตลาด ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะมุ่งเน้นขยายในประเทศ และเซกเมนต์ที่มีอัตราการเติบโตสูง
สำหรับภาพรวมธุรกิจเครื่องสำอางและสกินแคร์ปีนี้ แนวโน้มตลาดยังเติบโตได้ดี แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะไม่ค่อยดีมากนัก โดยเฉพาะในประเทศอเมริกาซึ่งเกิดปัญหาซับไพรม์ ขณะที่ในยุโรปเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตช้า ด้านเทรนด์ของเครื่องสำอางและสกินแคร์ มองว่า ทุกทวีปตามกระแสแฟชันทันกันหมด แต่เทรนด์ไวท์เทนนิงในขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในอเมริกาและยุโรป สำหรับประเทศไทยแม้ว่าจะมีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่มั่นใจว่าไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตสูง
นายฟิชเชอร์ กล่าวว่า ผลประกอบการในปี 2550 หรือปีงบประมาณระหว่างมีนาคม 2550-เมษายน 2549 ของชิเซโดทั่วโลกประมาณว่าจะมีรายได้ 725 พันล้านเยน และมีอัตราการเติบโต 4.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากหลากหลายแคธิกอรี่ อาทิ สกินแคร์ และกลุ่มเครื่องสำอาง ขณะที่กำไรสุทธิ 8.3% หรือคิดเป็นมูลค่า 60 ล้านเยน มีการเติบโต 20%
ทั้งนี้ ชิเซโด้ในประเทศญี่ปุ่น ยังเป็นประเทศเรือธงที่สร้างรายได้หลักในสัดส่วน 63.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 461 พันล้านเยน แม้ว่ารายได้จะหดตัวลง 1.9% แต่มีรายได้จากต่างประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 32.4% เพิ่มเป็น 36.4% หรือคิดเป็นมูลค่า 264 พันล้านเยน เติบโต 17% โดยชิเซโดในจีนเติบโตถึง 30% เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โตเป็นตัวเลขสองหลัก ซึ่งมีประเทศไทยสร้างรายได้เป็นอันดับ 1 และเป็นผู้ผลักดันให้รายได้เติบโต ส่วนยุโรปและอเมริกาเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว
นายทัตสึโอะ ซึโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจในไทยปีนี้จะมุ่งเน้นสร้างแบรนด์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นขาที่ 2 หรือ 3 รองจากแบรนด์ชิเซโด้เรือธงหลักสร้างรายได้ 75% ส่วนอีก 8 แบรนด์ ได้แก่ โบเต้ เพรสทิช,เคลย์ เดอ โป โบเต้ และอิปซ่า เป็นต้น มีสัดส่วนรายได้ 25%
ปีนี้บริษัทวางงบการตลาดเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำผู้นำตลาดของชิเซโด้อย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมตลาดเครื่องสำอางและสกินแคร์ปีนี้ คาดว่าเติบโต 5% เท่ากับการเติบโตจีดีพีของประเทศ สำหรับผลประกอบการปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ
นายคาร์สเทน ฟิชเชอร์ หัวหน้าผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารงานฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ บริษัท ชิเซโด้ ประเทศญี่ปุ่น จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายของชิเซโด้วางเป้าหมายจะก้าวสู่ตลาดโลกในเชิงรุกมากขึ้น โดยมุ่งเน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค การบริการด้านความงามเปรียบเสมือนเป็นเจ้าบ้าน และตอกย้ำแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการนำเสนอแบรนด์ใหม่ๆ เพื่ออุดช่องว่างทางการตลาด ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทจะมุ่งเน้นขยายในประเทศ และเซกเมนต์ที่มีอัตราการเติบโตสูง
สำหรับภาพรวมธุรกิจเครื่องสำอางและสกินแคร์ปีนี้ แนวโน้มตลาดยังเติบโตได้ดี แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะไม่ค่อยดีมากนัก โดยเฉพาะในประเทศอเมริกาซึ่งเกิดปัญหาซับไพรม์ ขณะที่ในยุโรปเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตช้า ด้านเทรนด์ของเครื่องสำอางและสกินแคร์ มองว่า ทุกทวีปตามกระแสแฟชันทันกันหมด แต่เทรนด์ไวท์เทนนิงในขณะนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในอเมริกาและยุโรป สำหรับประเทศไทยแม้ว่าจะมีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่มั่นใจว่าไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีอัตราการเติบโตสูง
นายฟิชเชอร์ กล่าวว่า ผลประกอบการในปี 2550 หรือปีงบประมาณระหว่างมีนาคม 2550-เมษายน 2549 ของชิเซโดทั่วโลกประมาณว่าจะมีรายได้ 725 พันล้านเยน และมีอัตราการเติบโต 4.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตดังกล่าวมาจากหลากหลายแคธิกอรี่ อาทิ สกินแคร์ และกลุ่มเครื่องสำอาง ขณะที่กำไรสุทธิ 8.3% หรือคิดเป็นมูลค่า 60 ล้านเยน มีการเติบโต 20%
ทั้งนี้ ชิเซโด้ในประเทศญี่ปุ่น ยังเป็นประเทศเรือธงที่สร้างรายได้หลักในสัดส่วน 63.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 461 พันล้านเยน แม้ว่ารายได้จะหดตัวลง 1.9% แต่มีรายได้จากต่างประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 32.4% เพิ่มเป็น 36.4% หรือคิดเป็นมูลค่า 264 พันล้านเยน เติบโต 17% โดยชิเซโดในจีนเติบโตถึง 30% เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โตเป็นตัวเลขสองหลัก ซึ่งมีประเทศไทยสร้างรายได้เป็นอันดับ 1 และเป็นผู้ผลักดันให้รายได้เติบโต ส่วนยุโรปและอเมริกาเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว
นายทัตสึโอะ ซึโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นโยบายการดำเนินธุรกิจในไทยปีนี้จะมุ่งเน้นสร้างแบรนด์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นขาที่ 2 หรือ 3 รองจากแบรนด์ชิเซโด้เรือธงหลักสร้างรายได้ 75% ส่วนอีก 8 แบรนด์ ได้แก่ โบเต้ เพรสทิช,เคลย์ เดอ โป โบเต้ และอิปซ่า เป็นต้น มีสัดส่วนรายได้ 25%
ปีนี้บริษัทวางงบการตลาดเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำผู้นำตลาดของชิเซโด้อย่างต่อเนื่อง ส่วนภาพรวมตลาดเครื่องสำอางและสกินแคร์ปีนี้ คาดว่าเติบโต 5% เท่ากับการเติบโตจีดีพีของประเทศ สำหรับผลประกอบการปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโตต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ