xs
xsm
sm
md
lg

ปักกิ่งตอกกลับมะกัน มี‘นุก’มากสุดจึงควรเป็นผู้นำลดจำนวนก่อนใคร หลังUSโวยจีนมีขีปนาวุธข้ามทวีปกว่า100ลูกแต่ไม่ยอมเจรจาควบคุมอาวุธ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ขีปนาวุธ DF-31AG ซึ่งมีรายงานว่าเป็นขีปนาวุธข้ามทวีปชนิดที่กองกำลังจรวดแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนยิงทดสอบเมื่อเดือนกันยายน 2024 (ภาพเผยแพร่โดยทางการจีน)
รายงานฉบับร่างของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ระบุว่า จีนน่าจะมีขีปนาวุธทิ้งตัวขนาดยักษ์ ระดับขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) มากกว่า 100 ลูกเก็บเตรียมพร้อมเอาไว้ในไซโลใต้ดิน 3 แห่งล่าสุด และไม่มีความประสงค์ที่จะเจรจาเรื่องการควบคุมอาวุธ ซึ่งเน้นย้ำถึงความทะเยอทะยานทางทหารที่เพิ่มมากขึ้นของปักกิ่ง ทางด้านโฆษกรัฐบาลจีนแถลงสวนกลับในวันอังคาร (24 ธ.ค.) ว่า ในฐานะที่อเมริกาเป็นผู้มีคลังแสงนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดยิ่งกว่าชาติอื่นๆ จึงสมควรแสดงตัวเป็นผู้นำด้วยการลดอาวุธประเภทนี้ก่อน

วารสาร Bulletin of the Atomic Scientists ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ตั้งฐานอยู่ในเมืองชิคาโก, สหรัฐฯ ระบุว่า จีนกำลังขยายและปรับปรุงคลังอาวุธปรมาณูของตนเร็วกว่าประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์อื่นๆ ขณะที่ปักกิ่งโต้แย้งว่า รายงานเกี่ยวกับการเสริมสร้างกำลังทางทหารนี้เป็นความพยายาม "ใส่ร้ายป้ายสีจีน และจงใจทำให้ประชาคมระหว่างประเทศเข้าใจผิด"

เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาอาจจะเจรจาหารือวางแผนลดอาวุธนิวเคลียร์กับจีนและรัสเซีย แต่รายงานฉบับร่างของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งรอยเตอร์ได้เห็นนั้น ระบุว่า รัฐบาลปักกิ่งดูเหมือนจะไม่สนใจ

"เรายังคงไม่เห็นความสนใจจากปักกิ่งในการดำเนินการดังกล่าว หรือการเจรจาควบคุมอาวุธที่ครอบคลุมมากขึ้น" รายงานระบุ

ยิ่งไปกว่านั้น รายงานยังระบุว่าจีนน่าจะมีขีปนาวุธข้ามทวีปแบบเชื้อเพลิงแข็งรุ่น DF-31 มากกว่า 100 ลูก เตรียมพร้อมเอาไว้ในไซโลเก็บขีปนาวุธ บริเวณใกล้ชายแดนจีน-มองโกเลีย ซึ่งเป็นไซโลเก็บขีปนาวุธล่าสุดในบรรดาหลายแห่งที่จีนสร้างขึ้นมา

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เคยรายงานถึงการมีอยู่ของไซโลเก็บขีปนาวุธเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่ได้ระบุจำนวนขีปนาวุธที่บรรจุอยู่ ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อสำนักข่าวรอยเตอร์สอบถามไป เพนตากอนก็ยังคงปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้

ทางด้าน หลิน เจี้ยน โฆษกผู้หนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวตอบโต้ในการแถลงข่าวตามปกติที่กรุงปักกิ่งวันอังคารว่า “ในฐานะที่สหรัฐฯเป็นอภิมหาอำนาจนิวเคลียร์รายหนึ่งซึ่งมีคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุด ภารกิจเร่งด่วนที่สุดสำหรับสหรัฐฯจึงต้องเป็นการกระทำให้สำเร็จอย่างกระตือรือร้น สำหรับความรับผิดชอบพิเศษและสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์”

สหรัฐฯควรที่จะ “ลดคลังแสงนิวเคลียร์ของตนลงมาอย่างมีสาระสำคัญ เพื่อสร้างเงื่อนไขต่างๆ สำหรับให้พวกรัฐมีอาวุธนิวเคลียร์รายอื่นๆ เข้าร่วมในกระบวนการปลดอาวุธนิวเคลียร์” หลิน กล่าวต่อ

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนผู้นี้บอกว่า ตัวเขายังไม่ทราบเรื่องร่างเอกสารฉบับนี้ของเพนตากอน แต่ก็กล่าวว่า ได้เห็น “การประโคมป่าวร้องทำนองเดียวกันนี้” จากสหรัฐฯมาก่อนแล้ว

“มันมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาข้อแก้ตัวให้แก่การที่สหรัฐฯเองกำลังเร่งรัดปรับปรุงกองกำลังนิวเคลียร์ของตนให้ทันสมัย รวมทั้งมีการกระทำต่างๆ ซึ่งเป็นการก่อกวนเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์ของทั่วโลก” เขากล่าวต่อ

รายงานฉบับร่างของเพนตากอนไม่ได้ระบุเป้าหมายที่เป็นไปได้ของขีปนาวุธที่จีนติดตั้งใหม่เหล่านี้ และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ย้ำว่ารายงานอาจจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมก่อนที่จะถูกส่งไปยังพวกสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ

รายงานระบุว่า คลังหัวรบนิวเคลียร์ของจีนยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 600 ลูกในปี 2024 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง "อัตราการผลิตที่ช้าลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ"

อย่างไรก็ตาม รายงานได้ระบุเพิ่มเติมว่า การขยายแสนยานุภาพนิวเคลียร์ของจีนยังคงดำเนินต่อไป และคาดว่าจีนจะมีหัวรบมากกว่า 1,000 หัวรบภายในปี 2030

สำหรับสหรัฐฯนั้น ประมาณการกันว่าเวลานี้ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์เอาไว้จำนวนราวๆ 5,177 หัวรบ

หลินกล่าวย้ำว่า “จีนยึดถืออย่างมั่นคงในนโยบายที่จะไม่เป็นฝ่ายแรกซึ่งใช้อาวุธนิวเคลียร์ และปฏิบัติตามยุทธศาสตร์นิวเคลียร์แห่งการป้องกันตนเอง” และยืนยันว่า จีน “ไม่ได้เกี่ยวข้องในการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์กับประเทศใดๆ”

ในช่วงไม่กี่เดือนหลังๆ นี้ ทรัมป์ออกมากล่าวว่า เขาต้องการให้สหรัฐฯ กลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะอยู่ในรูปแบบใด

อดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน และ ทรัมป์ ในช่วงวาระแรกของเขา มีความพยายามที่จะเจรจากับจีนและรัสเซีย เพื่อจัดทำสนธิสัญญาควบคุมอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ 3 ฝ่ายมาทดแทนสนธิสัญญา New START

รายงานฉบับนี้ออกมาไม่ถึง 2 เดือนก่อนที่สนธิสัญญา New START ปี 2010 ซึ่งเป็นข้อตกลงควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ฉบับสุดท้ายระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียจะหมดอายุลง โดยสนธิสัญญานี้จำกัดการติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายไว้ที่ไม่เกิน 1,550 หัวรบบนระบบนำส่ง 700 ระบบ

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย และ ไบเดน ได้ขยายสนธิสัญญานี้ออกไป 5 ปีในเดือน ก.พ. ปี 2021 แต่เงื่อนไขของสนธิสัญญาไม่อนุญาตให้มีการขยายเวลาอย่างเป็นทางการเพิ่มเติมอีก

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเกรงว่า การสิ้นสุดลงของสนธิสัญญา New START อาจจุดชนวนการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ 3 ฝ่าย

ดาริล คิมบอลล์ ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่มรณรงค์ควบคุมอาวุธ ระบุว่า "การมีอาวุธนิวเคลียร์มากขึ้น และการขาดการเจรจาทางการทูต จะไม่ทำให้ใครปลอดภัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจีน รัสเซีย หรือสหรัฐอเมริกา"

(ที่มา: รอยเตอร์/MGRonline)
กำลังโหลดความคิดเห็น