นายกรัฐมนตรี ซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่น และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้หารือกันทางโทรศัพท์เกี่ยวกับความสัมพันธ์จีนในวันอังคาร (25 พ.ย.) ซึ่งถือเป็นการพูดคุยครั้งแรกนับตั้งแต่ผู้นำหญิงญี่ปุ่นจุดชนวนความขัดแย้งทางการทูตครั้งใหญ่กับจีนจากถ้อยแถลงของเธอเรื่องไต้หวัน
คำตอบของ ทาคาอิจิ ต่อคำถามในสภาไดเอตเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า การโจมตีไต้หวันของจีนอาจนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารของญี่ปุ่น ได้กระตุ้นให้ฝ่ายจีนแก้เผ็ดอย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงการเรียกร้องให้พลเมืองจีนคว่ำบาตรการเดินทางไปญี่ปุ่น
ที่ผ่านมา ทรัมป์ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ ต่อสาธารณชนเลย ในกรณีพิพาทระหว่างญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่สำคัญที่สุดรายหนึ่งของสหรัฐฯ กับจีน อภิมหาอำนาจที่เป็นคู่แข่งขันของอเมริกา ความเงียบเช่นนี้ทำให้พวกนักวิเคราะห์มองว่า กำลังสร้างความกังวลให้แก่พวกเจ้าหน้าที่บางรายในโตเกียว
ในการแถลงสรุปภายหลังการพูดคุยทางโทรศัพท์ของเธอกับทรัมป์ในวันอังคาร (25) ทาคาอิจิ หาทางขจัดปัดเป่าความวิตกใดๆ ที่อาจมีในเรื่องที่ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้หนุนหลังเธอเต็มที่
“ประธานาธิบดี ทรัมป์ กล่าวว่าเขาและดิฉันเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเป็นอย่างยิ่ง และท่านยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับโทรศัพท์จากดิฉันทุกเมื่อ” เธอกล่าวกับพวกผู้สื่อข่าว พร้อมกับเสริมด้วยว่า ทรัมป์เป็นฝ่ายที่ริเริ่มติดต่อกับเธอทางโทรศัพท์ในคราวนี้
“ประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้อธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับสถานะความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนในช่วงที่ผ่านมา” รวมทั้งการพูดจาทางโทรศัพท์ระหว่างเขากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในวันจันทร์ (24) ด้วย ทาคาอิจิ กล่าวโดยปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม
ทางด้านเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่รู้เรื่องการพูดคุยระหว่างทาคาอิจิกับทรัมป์คราวนี้เป็นอย่างดี บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ญี่ปุ่นรู้สึกโล่งอกที่ภายหลังทรัมป์หารือกับ สี แล้ว มีการติดต่อโทรศัพท์พูดคุยกับนายกฯญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ผู้นี้ขอให้สงวนนาม เนื่องจากประเด็นที่เขานำมาเล่านี้มีความอ่อนไหวยิ่ง
สำหรับทำเนียบขาวนั้น ยังไม่ได้ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการหารือระหว่างทรัมป์กับทาคาอิจิครั้งนี้
สำหรับ มิโนรุ คิฮาระ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระบุในการแถลงข่าวประจำวันอังคาร (25) ว่า “เสถียรภาพของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นด้วย”
เขาปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ สี จิ้นผิง เอ่ยกับ ทรัมป์ เรื่องไต้หวัน
ด้านนายกรัฐมนตรี จั๋ว หรงไท่ ของไต้หวัน กล่าววันอังคาร (25) ว่า สำหรับประชากร 23 ล้านคนของไต้หวัน การ “หวนกลับ” สู่จีนไม่ใช่ทางเลือก
“เราต้องย้ำอีกครั้งว่าสาธารณรัฐจีน ไต้หวัน เป็นประเทศที่มีอธิปไตย และเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์” จั๋ว กล่าวกับผู้สื่อข่าวหน้ารัฐสภา โดยอ้างถึงชื่อทางการของเกาะแห่งนี้
“สำหรับประชาชน 23 ล้านคนในประเทศของเรา การ ‘หวนกลับ’ ไม่ใช่ทางเลือก – นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนมาก” เขากล่าว
ขณะที่จนถึงตอนนี้ ทาคาอิจิ ยังคงไม่มีท่าทีจะถอนคำพูดเรื่องไต้หวันของเธอ ตามการเรียกร้องของปักกิ่ง แต่โตเกียวก็ระบุว่าปรารถนาที่จะจัดการพูดจากับฝ่ายจีนในทุกๆ ระดับเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดที่เกิดขึ้น
ตามรายงานของสื่อในญี่ปุ่น ในวันอังคาร (25) รองรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้พบกับเอกอัครราชทูตในกรุงโตเกียว เพื่อหารือถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่ระหว่างประเทศทั้งสอง ตลอดจนการดำเนินการต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการประชุมสุดยอดกลุ่ม จี20 ที่แอฟริกาใต้เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ปักกิ่งปฏิเสธไม่ยอมรับการทาบทามของโตเกียว ในเรื่องความเป็นไปได้ที่จะจัดการพบปะหารือเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นระหว่าง ทาคาอิจิ กับนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ซึ่งเป็นหัวหน้าผู้แทนของจีน
พวกนักวิเคราะห์บอกว่า นี่เป็นหนึ่งในสัญญาณจำนวนมากที่ชี้ว่าความสัมพันธ์ญี่ป่น-จีนน่าจะบ่ายหน้าเข้าสู่ช่วงแห่งความหนาวเหน็บอย่างยาวนาน ในขณะที่ ทาคาอิจิ ซึ่งเป็นนักชาตินิยมสายแข็งแกร้าว ก็ยังคงได้รับคะแนนนิยมจากสาธารณชนญี่ปุ่นอย่างสูง นับตั้งแต่ที่เธอขึ้นสู่อำนาจในเดือนที่แล้ว
กังวลจุดยืนทรัมป์เรื่องไต้หวัน
ขณะที่ทรัมป์ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยตรงกับข้อพิพาททางการทูตที่กำลังคุกรุ่นระหว่างญี่ปุ่นและจีนในเรื่องไต้หวัน แต่เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น จอร์จ กลาส ได้ออกมาแถลงว่า สหรัฐฯสนับสนุนโตเกียวเมื่อเผชิญกับ "การใช้อำนาจบีบบังคับ" ของจีน
อย่างไรก็ดี มีเจ้าหน้าที่บางรายในโตเกียวแสดงความกังวลมานานแล้วว่า ทรัมป์อาจจะกำลังตระเตรียมที่จะลดความสนับสนุนไต้หวันลงมา ในความพยายามของเขาที่จะทำข้อตกลงการค้ากับจีน อันเป็นความเคลื่อนไหวที่จะเป็นการให้ท้ายปักกิ่ง และจุดประกายให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในเอเชียตะวันออก
ไซโกะ มิมากิ รองศาสตราจารย์ผู้ชำนาญการพิเศษเรื่องการเมืองและการทูตสหรัฐฯ อยู่ที่มหาวิทยาลัยโดชิชะ ในญี่ปุ่น เขียนเอาไว้ในบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์อาซาฮีฉบับวันอังคาร (25) ว่า “ไม่สามารถที่จะบอกปัดได้ว่า คณะบริหารทรัมป์อาจจะเป็นรายหนึ่งที่ยอมสละประเด็นปัญหาไต้หวันเพื่อ ‘ข้อตกลง’ ด้านการค้ากับจีน”
“ในการจัดทำนโยบายเกี่ยวกับจีน เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจอย่างเต็มที่กับความโน้มเอียงและความเสี่ยงเหล่านี้ซึ่งมีอยู่เป็นปกติวิสัยในคณะบริหารทรัมป์” เธอกล่าวต่อ
เมื่อสำนักข่าวรอยเตอร์สอบถามขณะมีการประชุมแถลงข่าวในวันอังคาร (25) ว่า โตเกียวเป็นกังวลหรือไม่กับการที่ทรัมป์เงียบไม่พูดอะไรในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพิพาทระหว่างญี่ปุ่นกับจีน รัฐมนตรีต่างประเทศแดนอาทิตย์อุทัย โทชิมิตซึ โมเตกิ ตอบว่า “มันไม่มีเรื่องอย่างนั้นหรอก และมันก็จะไม่มีทางมีเรื่องอย่างนั้นด้วย ที่ทำเนียบขาวหรือกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯจะคอยให้ความเห็นกับประเด็นปัญหาต่างๆ ทุกๆ เรื่อง แสดงความสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนในแต่ละเรื่อง”
(ที่มา: รอยเตอร์)


