ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวยกย่องความสัมพันธ์กับจีนว่า "แข็งแกร่งอย่างยิ่ง" เมื่อวันจันทร์ (24 พ.ย.) หลังจากที่ได้มีการหารือทางโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ซึ่งได้กล่าวกับทรัมป์ว่า "การหวนกลับคืนสู่จีน" ของไต้หวันเป็นส่วนสำคัญในวิสัยทัศน์ของปักกิ่งต่อระเบียบโลก
การต่อสายหารือซึ่งทั้งสองประเทศไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ ทรัมป์ และ สี พบกันที่เกาหลีใต้ และทั้งสองประเทศได้บรรลุกรอบข้อตกลงการค้าที่ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน
จีนกำลังเผชิญกับวิกฤตทางการทูตครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีกับญี่ปุ่น หลัง ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่าการโจมตีใดๆ ของจีนต่อไต้หวันซึ่งปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อาจนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารของญี่ปุ่น
สำนักข่าวซินหวาของจีนรายงานว่า "จีนและสหรัฐอเมริกาเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันเพื่อต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์และลัทธิทหาร และบัดนี้ควรร่วมมือกันเพื่อปกป้องผลลัพธ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2" พร้อมเสริมว่า "การกลับคืนสู่จีนของไต้หวันเป็นส่วนสำคัญของระเบียบโลกหลังสงคราม"
จีนถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตน และไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังเข้าควบคุม ขณะที่ทางการไต้หวันปฏิเสธคำกล่าวอ้างของปักกิ่ง และระบุว่ามีเพียงชาวไต้หวันเท่านั้นที่สามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้
ทรัมป์ โพสต์บน Truth Social เกี่ยวกับการคุยโทรศัพท์ "ที่ดีมาก" กับ สี จิ้นผิง ซึ่งเขากล่าวว่าครอบคลุมหลากหลายหัวข้อ รวมถึงเรื่องยูเครน เฟนทานิล และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของสหรัฐฯ ทว่าไม่ได้เอ่ยถึงไต้หวัน
“ความสัมพันธ์ของเรากับจีนแข็งแกร่งมาก! การคุยโทรศัพท์ครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการพบกันที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเกาหลีใต้เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน นับตั้งแต่นั้นมา เราทั้งสองฝ่ายมีความก้าวหน้าอย่างมากในการรักษาข้อตกลงให้เป็นปัจจุบันและถูกต้อง” ทรัมป์กล่าว
ทรัมป์ บอกด้วยว่า เขาตอบรับคำเชิญของ สี จิ้นผิงให้เดินทางเยือนปักกิ่งในเดือน เม.ย. ปีหน้า และได้เชิญ สี จิ้นผิง ให้เดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2026
แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว บอกกับผู้สื่อข่าวว่า การหารือกับ สี จิ้นผิง มุ่งเน้นไปที่ประเด็นการค้า และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
“เรายินดีกับสิ่งที่เราได้เห็นจากจีน และพวกเขาก็รู้สึกเช่นเดียวกัน” ลีวิตต์ กล่าว
หลังจากความตึงเครียดทางการค้าหลายเดือนอันเนื่องมาจากมาตรการภาษีของทรัมป์ สี และ ทรัมป์ ได้บรรลุกรอบข้อตกลงที่เกาหลีใต้เมื่อวันที่ 30 ต.ค. โดยวอชิงตันตกลงที่จะไม่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 100% และจีนจะชะลอมาตรการควบคุมการออกใบอนุญาตส่งออกแร่ธาตุหายากและแม่เหล็กที่สำคัญ
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาหวังว่าข้อตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับแร่ธาตุหายากจะเสร็จสิ้นภายในวันขอบคุณพระเจ้า
จีนได้กลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ อีกครั้ง และระงับการขยายข้อจำกัดในการส่งออกแร่ธาตุหายาก ส่วนสหรัฐฯ ได้ลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนลง 10% เพื่อแลกกับคำมั่นสัญญาของปักกิ่งที่จะช่วยควบคุมการเคลื่อนย้ายสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิลซึ่งเป็นสารโอปิออยด์สังเคราะห์เข้าไปยังอเมริกาเหนือ
สี กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีเสถียรภาพ และดีขึ้นนับตั้งแต่การประชุม
“ข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า ความร่วมมือเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ขณะที่การเผชิญหน้ากลับส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย” เขา กล่าวกับ ทรัมป์ พร้อมกระตุ้นให้ทั้งสองประเทศรักษาโมเมนตัมเชิงบวกเอาไว้
สี จิ้นผิง ย้ำด้วยว่า จีนสนับสนุนความพยายามทุกวิถีทางที่นำไปสู่สันติภาพในยูเครน
ถ้อยแถลงของฝ่ายจีนเน้นย้ำถึงไต้หวัน ซึ่งเป็นประเด็นที่ทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้กล่าวถึงในคำแถลงหลังการประชุมที่เกาหลีใต้ ทรัมป์ เอ่ยหลังการประชุมครั้งนั้นว่าพวกเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องไต้หวัน ซึ่งปักกิ่งถือว่าเป็น 'เส้นแดง' ในความสัมพันธ์กับวอชิงตัน และหลายสัปดาห์ต่อมา สหรัฐฯ ได้อนุมัติการขายอาวุธมูลค่า 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับไทเป
บอนนี เกลเซอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไต้หวัน จากกองทุนมาร์แชลล์เยอรมันของสหรัฐฯ กล่าวว่าถ้อยแถลงเกี่ยวกับไต้หวันของ สี จิ้นผิง เป็นการตอกย้ำคำพูดที่เขาเคยกล่าวไว้ระหว่างการเยือนรัสเซียในเดือน พ.ค.
“สี จิ้นผิง คงจะใช้โอกาสนี้แสดงจุดยืนของเขาเกี่ยวกับไต้หวัน ซึ่งอาจเป็นเพราะสื่อจำนวนมากในการประชุมที่ปูซานระบุว่า ไม่มีการพูดถึงไต้หวัน” เกลเซอร์ กล่าว
ทรัมป์ ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาททางการทูตที่กำลังคุกรุ่นระหว่างญี่ปุ่นและจีนเกี่ยวกับไต้หวันโดยตรง แม้เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น จอร์จ กลาส จะกล่าวว่า สหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนโตเกียวเมื่อเผชิญกับ "การบีบบังคับ" ของจีนก็ตาม
ก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (24) ปักกิ่งวิพากษ์วิจารณ์แผนของโตเกียวที่จะติดตั้งระบบขีปนาวุธชนิดพื้นสู่อากาศพิสัยกลางบนเกาะโยนากุนิ ซึ่งอยู่ห่างจากไต้หวันเพียงราวๆ 110 กิโลเมตร โดยระบุว่าเป็นความพยายาม "สร้างความตึงเครียดในภูมิภาค และก่อให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหาร"
มาร์วิน พาร์ค อดีตผู้อำนวยการไต้หวันในสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า ขีปนาวุธเหล่านี้มีลักษณะเชิงป้องกันอย่างชัดเจน โดยมีพิสัยทำการเพียงประมาณ 50 กิโลเมตร และไม่สามารถไปถึงไต้หวันได้ด้วยซ้ำ
“ความกังวลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าของจีนคือ ความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นจะขยายกำลังทหารในอนาคต หากพวกเขานำระบบเพื่อการป้องกันตนเองมาใช้ในตอนนี้ ญี่ปุ่นก็อาจพัฒนาขีดความสามารถที่ก้าวหน้าในหมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ได้ง่ายขึ้นในอนาคต” พาร์ค ซึ่งปัจจุบันทำงานอยู่กับบริษัทที่ปรึกษา American Global Strategies กล่าว
ที่มา: รอยเตอร์


