รัฐบาลกัมพูชาแสดงความกังวลอย่างสูง ต่อรายงานข่าวต่างๆที่อ้างคำพูดของพวกผู้นำไทย บ่งชี้ว่ากรุงเทพฯได้ระงับบังคับใช้ "ปฏิญญาร่วม" ระหว่าง 2 ชาติ ที่ลงนามในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ปฏิเสธคำกล่าวหาของไทยเกี่ยวกับเหตุลอบวางกับระเบิดตามแนวชายแดน และเน้นย้ำถึงพันธสัญญาที่มีต่อข้อตกลงสันติภาพ ตามรายงานของขแมร์ไทม์ส ในวันจันทร์(10พ.ย.)
ขแมร์ไทม์สรายงานว่าในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในช่วงค่ำวันจันทร์(10พ.ย.) กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ระบุว่า "ปฏิญญาร่วม" ที่ลงนามโดยนายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ และมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กับ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน เป็นตัวแทนของก้าวย่างสำคัญในการมุ่งหน้าสู่เสถียรภาพและสันติภาพที่ยั่งยืนตามแนวชายแดน
สำนักข่าวขแมร์ไทม์ส อ้างสื่อมวลชนไทย ระบุว่าทางการไทย อ้างอิงเหตุทุ่นระเบิดเกิดระเบิดในพื้นที่ภูมะเขือ ใกล้เขาพระวิหาร ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 3 นาย สำหรับความชอบธรรมในการระงับข้อตกลงสันติภาพและยกเลิกการปล่อยตัวทหารกัมพูชา 18 ราย ที่ถูกควบคุมตัวในกรุงเทพฯ ที่เดิมทีกำหนดไว้ในวันที่ 12 พฤศจิกายน
ถ้อยแถลงของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ระบุว่า "รัฐบาลกัมพูชาขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิงต่อคำกล่าวหาของฝ่ายไทย ที่ว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ตามแนวชายแดนติดกับไทย" ถ้อยแถลงระบุ พร้อมเน้นย้ำว่าบริเวณที่มีทุ่นระเบิดทั้งหมดในพื้นที่ดังกล่าว เป็นสิ่งตกค้างของสงครามกลางเมืองกัมพูชาระหว่างทศวรรษ 1970 และ 1980
นอกจากนี้แล้วถ้อยแถลงระบุต่อว่าพื้นที่อันกว้างขวางตามแนวชายแดนยังคงไม่ได้รับการเคลียร์ทุ่นระเบิด สืบเนื่องจากภูมิประเทศที่ยากลำบากและบางพื้นที่อยู่ในสถานะยังไม่ปักปันเขตแดน ทำให้เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุมีความเป็นไปได้
ในถ้อยแถลงระบุอีกว่าทางกระทรวงการต่างประเทศ ขอเน้นย้ำว่ากัมพูชา มุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในการปฏิบัติตามปฏิญญาร่วม ซึ่งได้รับเสียงยกย่องจากประชาคมนานาชาติ "กัมพูชาในฐานะผู้สนับสนุนอุทิศตนเพื่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและรัฐภาคีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไม่เคยใช้ทุ่นระเบิดใหม่และจะไม่มีวันทำเช่นนั้นด้วย"
(ที่มา:ขแมร์ไทม์ส)


