Seng Dyna รัฐมนตรีช่วยว่าการและโฆษกกระทรวงยุติธรรมกัมพูชา เน้นย้ำว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างกัมพูชาและไทย ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MoU 2000 หรือพ.ศ. 2543) ไม่อาจเพิกถอนแต่เพียงฝ่ายเดียว ความเคลื่อนไหวซึ่งมีขึ้นหลังจากมีข่าวว่าฝ่ายไทยกำลังพิจารณาจัดทำประชามติยกเลิก MoU ที่ทำไว้กับกัมพูชาทั้ง 2 ฉบับ
ระหว่างให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเคพี สื่อมวลชนแห่งรัฐ Seng Dyna อ้างเหตุผลหลักๆ 2 เหตุผล ประการแรกคือแม้มันมีชื่อว่า MoU แต่เอกสารดังกล่าวเข้าองค์ประกอบของข้อตกลงระหว่างประเทศ ที่มีน้ำหนักทางกฎหมายแบบเดียวกับสนธิสัญญาณฉบับหนึ่งๆ มันได้รับการจดทะเบียนกับสหประชาชาติแล้ว และประกาศใช้อย่างเป็นทางการตามมาตรา 102 ของกฎบัตรสหประชาชาติ
เขากล่าวต่อว่าภายใต้ธรรมเนียมกฎหมายระหว่างประเทศและหลักกฎหมายของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ข้อตกลงที่เป็นลายลักษณ์อักษรใดๆระหว่างรัฐ ที่สถาปนาภาระผูกพันทางกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ มีค่าเทียบเท่ากับสนธิสัญญาหนึ่งๆ โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงชื่อเรื่องใดๆ
ประการที่ 2 เขาเน้นว่า MoU 2000 ไม่ได้ระบุทั้งข้อกำหนดหมดอายุหรือบทบัญญัติสำหรับยกเลิกใดๆฝ่ายเดียว
"เพราะฉะนั้น MoU 2000 ยังคงมีผลบังคับใช้จนกว่าวัตถุประสงค์ของการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชาและไทยจะประสบความสำเร็จ ไม่มีฝ่ายใดที่สามารถถอนตัวออกจากบันทึกความเข้าใจนี้ โดยปราศจากการยินยอมของอีกฝ่าย" Seng Dyna กล่าว
ความเห็นของ Seng Dyna มีขึ้นหลังจากสื่อมวลชนไทยรายงานว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีของไทย กำลังพิจารณาจัดทำประชามติว่าจะยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับที่ทำไว้กับกัมพูชาหรือไม่ ขณะที่ MOU ทั้ง 2 ฉบับ ครอบคลุมคำกล่าวอ้างทั้งเขตแดนทางบกและทางทะเล
ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงกลางเดือนกันยายน รายการออนไลน์ “พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร” เปิดเผยข้อมูลเป็นที่แรกที่สร้างความตกตะลึง ระบุว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย-กัมพูชา ปี 2543 หรือ MoU 2000 ซึ่งถูกยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่ใช่ข้อตกลงที่มีผลผูกพัน กลับถูกนำไปจดทะเบียนเป็นสนธิสัญญาใน “Treaty Series” ขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2554 (ค.ศ.2001) โดยไม่มีใครในสังคมไทยรับรู้
พ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคารชี้ว่า การจดทะเบียนครั้งนั้นมีปัญหาใหญ่ เพราะ MOU แนบแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งประเทศไทยไม่เคยยอมรับ การที่เอกสารถูกยกระดับเป็นสนธิสัญญาเท่ากับทำให้แผนที่ดังกล่าวได้รับการรับรองในระดับนานาชาติ ถือเป็นการ “แอบลักไก่” โดยประชาชนไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
เขาระบุว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีนายกษิต ภิรมย์ เป็น รมว.ต่างประเทศ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น รมว.กลาโหม แต่กลับไม่มีการนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญปีพ.ศ. 2550 มาตรา 190 พร้อมตั้งคำถามว่าเป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลสามารถนำเรื่องไปขึ้นทะเบียนต่อ UN ได้โดยไร้กระบวนการตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตามพ่อเลี้ยงเจจากดาวอังคาร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ศ.ดร.สมพงษ์ สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เคยให้ความเห็นว่าแม้จะเป็นสนธิสัญญา แต่ไทยสามารถยกเลิกได้ฝ่ายเดียว หากเห็นว่าไม่เป็นธรรม
(ที่มา:แคมโบเดียเนสส์/mgronline)