“ฮุน มาเนต” โพสต์อ้างหลักเขตแดนบ้านหนองหญ้าแก้วที่ทั้งสองฝ่ายลงนาม เป็นเพียงขั้นตอนที่ 1 จาก 5 ขั้นตอน และหากยึดตามเส้นที่ไทยขีด กัมพูชาก็โดนไทยรุกล้ำเหมือนกัน ย้ำปัญหาเขตแดนมีความซับซ้อน ต้องการแก้ข้อพิพาทกับไทยด้วยสันติวิธี ไม่ใช้กำลัง กัมพูชาเคารพอธิปไตยเพื่อนบ้าน ขอให้เพื่อนบ้านเคารพอธิปไตยกัมพูชาด้วย
วันนี้(26 ก.ย.) เมื่อเวลา 18.49 น.ที่ผ่านมา ในเฟซบุ๊ก Hun Manet ของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีการโพสต์ข้อความว่า กัมพูชาและไทยเป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายศตวรรษและจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไปอีกหลายศตวรรษ สิ่งสำคัญคือต้องยอมรับว่าแม้ทั้งสองประเทศยังไม่ได้กำหนดเขตแดนร่วมกัน แต่ประชาชนทั้งสองฝ่ายก็ได้อาศัยและทำการเกษตรกรรมบนผืนดินในพื้นที่ที่ไม่ได้กำหนดเขตแดนมาหลายทศวรรษ
สิ่งนี้ก่อให้เกิดข้อพิพาทหรือความแตกต่างที่ทั้งสองฝ่ายสามารถแก้ไขอย่างสันติ ผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และตกลงที่จะส่งประเด็นปัญหาเขตแดนที่ซับซ้อนนี้ไปยังคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบก (JBC) เพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบก ซึ่งลงนามในปี พ.ศ.2543 (MOU 2000)
บันทึกความเข้าใจนี้ได้รับการจดทะเบียนกับองค์การสหประชาชาติ และสามารถเข้าถึงได้ผ่านชุดเอกสารรวบรวมสนธิสัญญาสหประชาชาติ
ตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะคงสถานะเดิมไว้จนกว่างานปักปันเขตแดนจะเสร็จสมบูรณ์ ข้อกำหนด (TOR) ปี 2546 ระบุว่า การกำหนดเขตประกอบด้วย 5 ขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตึงจะผ่านการรับรองเป็นเส้นเขตแดนจริง ได้แก่
ขั้นตอนที่ 1: การยึดตรึง ซ่อมแซม หรือทำเสาหลักเขต (BP) ใหม่
ขั้นตอนที่ 2: การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
ขั้นตอนที่ 3: การกำหนดแนวที่จะสำรวจ
ขั้นตอนที่ 4: การตรวจสอบภูมิประเทศ
ขั้นตอนที่ 5: การวางเสาหลักเขต
เมื่อเร็วๆ นี้ รองโฆษกกองทัพบกไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วยแหล่งข้อมูลอื่นๆ ได้นำเสนอแผนที่ดาวเทียมและเอกสารราชการบางส่วนที่แสดงตำแหน่งของเสาหลักเขตในพื้นที่หมู่บ้านไพรจัน(บ้านหนองหญ้าแก้ว) และหมู่บ้านโชคชัน(บ้านหนองจาน) ของกัมพูชาต่อสาธารณชน
ในทำนองเดียวกัน เมื่อวันที่ 19 กันยายน เฟซบุ๊กภายใต้ชื่อ "Royal Thai Army: Update" ได้โพสต์แผนที่ดาวเทียมพร้อมบันทึกผลการสำรวจของเสาหลักเขตซึ่งลงนามร่วมกันโดยนาย ลาย เซียง ลี หัวหน้าทีมสำรวจกัมพูชา และพันเอก ชาคร บุญภักดี หัวหน้าทีมสำรวจไทย โดยแสดงเส้นแบ่งเขตแดนที่เชื่อมระหว่างเสาหลักเขตที่ 42 และ เสาหลักเขตที่ 43 (หมู่บ้านไพรจัน) เพื่ออ้างว่าเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกกำหนดแล้ว
ข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ไม่เป็นความจริง ด้วยเหตุผลง่ายๆ 2 ประการ คือ
1) ทีมสำรวจของทั้งสองประเทศตกลงกันเฉพาะตำแหน่งของเสาหลักเขตที่ 43 เท่านั้น ไม่ใช่เสาหลักเขตที่ 42 และ
2) ทีมสำรวจไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ในการตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นแบ่งเขตแดน
บันทึกที่ลงนามนี้เป็นเพียงขั้นตอนที่ 1 จากห้าขั้นตอนที่จะต้องดำเนินการ (ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น)
แม้ในอินโฟกราฟิกที่ฝ่ายไทยนำเสนอจะมีเส้นแบ่งเขตแดนอย่างไม่เป็นทางการระหว่างเสาหลักเขตที่ 42-43 และเสาหลักเขต 44-47 (หมู่บ้านโชคชัย) แต่ความจริงที่เกิดขึ้นจริงคือ คนไทยได้ครอบครองและทำการเกษตรกรรมบนพื้นที่หลายเฮกตาร์ในดินแดนกัมพูชามาเป็นเวลาหลายปี ดังที่แสดงในแผนที่/อินโฟกราฟิกของพื้นที่เหล่านี้ที่แนบมา
สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาชายแดนในพื้นที่เหล่านี้ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ทั้งสองประเทศจะต้องแก้ไขปัญหาพื้นที่ที่ถูกมอบหมายโดยสันติผ่านคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบก (JBC) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทั้งสองประเทศได้ทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์มาเป็นเวลาหลายปี
รัฐบาลกัมพูชามุ่งมั่นที่จะแสวงหาแนวทางแก้ไขข้อพิพาทเขตแดนทั้งหมดกับประเทศไทยอย่างสันติและเป็นธรรม เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศ ด้วยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ยังคงยึดมั่นในหลักการที่ว่า พรมแดนจะต้องไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยกำลัง
กัมพูชาเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเต็มที่ แต่เราก็เรียกร้องให้มีการเคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของเราอย่างเต็มที่เช่นกัน