สื่อต่างประเทศเผย ประธานหอการค้ามาเลเซียประจำกัมพูชาเร่งเร้าภาคธุรกิจแดนเสือเหลืองให้ฉวยโอกาสรุกเข้าไปขยายตลาดในกัมพูชา หลังจากที่ข้อพิพาทชายแดนส่งผลให้ชาวเขมรจำนวนมากแห่แบนสินค้าจากไทย
รายงานดังกล่าวระบุว่า แม้จะมีการหยุดยิงชั่วคราวในข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ทว่ากระแสต่อต้านไทยในกัมพูชายังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในทางกลับกัน ชาวกัมพูชาให้ความเคารพอย่างสูงต่อมาเลเซียและนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียนหมุนเวียนในการทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนี้
ออกญา ตัน คี เมง (Oknha Tan Kee Meng) ประธานหอการค้ามาเลเซียแห่งกัมพูชา (MBCC) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Sin Chew Daily ว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับบริษัทมาเลเซียในการเข้าสู่ตลาดกัมพูชา
"ทั้งรัฐบาลและประชาชนกัมพูชาต่างมีความประทับใจต่อมาเลเซียเป็นพิเศษ และพวกเขาก็เป็นมิตรกับเรามาก" นาย ตัน กล่าว
“พวกเขามักพูดว่า เมื่อมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากสินค้าไทย มาเลเซียจะเป็นตัวเลือกแรกนอกเหนือจากเวียดนาม มันคือจิตวิญญาณแห่งการสนับสนุนซึ่งกันและกัน”
เขาย้ำว่าตลาดนั้นมีอยู่แล้ว แต่ภาคธุรกิจมาเลเซียต้องเป็นฝ่ายริเริ่ม เพราะแม้การนำเข้าจากมาเลเซียจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนโดยผู้ค้าชาวกัมพูชาที่จัดหาสินค้าจากมาเลเซีย มากกว่าบริษัทมาเลเซียที่ขยายกิจการเข้าไปในกัมพูชาอย่างแข็งขัน
ตัน เสริมว่า โดยทั่วไปแล้วสินค้ามาเลเซียในกัมพูชาจะถูกมองว่าเป็นสินค้าระดับกลางถึงระดับสูง มีคุณภาพที่เชื่อถือได้ และมีมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร
เขาเสนอแนะให้บริษัทมาเลเซียใช้ประโยชน์จากเส้นทางรถไฟข้ามพรมแดนผ่านลาวเพื่อขนส่งสินค้าเข้าสู่กัมพูชา
ตัน ยังอยู่ระหว่างหารือกับองค์การพัฒนาการค้าต่างประเทศแห่งมาเลเซีย (MATRADE) เพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลช่วยเหลือธุรกิจมาเลเซียให้คว้าโอกาสนี้
กัมพูชาเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภคเป็นหลัก และธุรกิจมาเลเซียมีศักยภาพสูงในด้านเชื้อเพลิง การค้าปลีก และการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เนื่องจากชาวกัมพูชาใช้จ่ายอย่างมากในแต่ละปีไปกับการตรวจสุขภาพและการรักษาพยาบาล ตามคำกล่าวของ ตัน
อย่างไรก็ตาม ในอดีตค่าขนส่งและภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นมักทำให้สินค้ามาเลเซียมีราคาแพงกว่าสินค้าจากไทย เวียดนาม หรือจีนเล็กน้อย
เนื่องจากคนท้องถิ่นหลีกเลี่ยงสินค้าไทย เวียดนามจึงกลายเป็นผู้ชนะรายใหญ่ที่สุดในเวลานี้ และมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงานของเวียดนามไปยังกัมพูชาพุ่งสูงขึ้น
กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามรายงานว่า การค้าระหว่างเวียดนามและกัมพูชามีมูลค่า 6,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 16.8 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยการส่งออกของเวียดนามไปยังกัมพูชาเพิ่มขึ้น 4.6 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังคงเติบโตต่อไป
จีนได้ใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบด้านต้นทุนที่ต่ำและเติมเต็มช่องว่างด้านวัสดุก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 การลงทุนของกัมพูชาในภาคการก่อสร้างมีมูลค่าสูงกว่า 1,240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยวัตถุดิบส่วนใหญ่นำเข้ามาจากจีน
กัมพูชาและไทยมีพรมแดนติดกันและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมายาวนาน และพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานกันอย่างมาก ทว่านับตั้งแต่เกิดการปะทะกันที่ชายแดน กระแสชาตินิยมในทั้งสองประเทศก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง
ข้อมูลอย่างเป็นทางการที่แสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากขึ้นในฝั่งกัมพูชายิ่งทำให้ประชาชนไม่พอใจ ก่อให้เกิดกระแสการคว่ำบาตร และแม้กระทั่งการ “ลดทอนความเป็นไทย” ในบางธุรกิจ
ประชาชนชาวกัมพูชาจำนวนมากปฏิเสธที่จะซื้อสินค้าไทย รับประทานอาหารไทย และแม้แต่บริษัทที่มีผู้บริหารเป็นคนไทยก็กำลังเผชิญกับการคว่ำบาตร
“กระแสความรู้สึกต่อต้านไทยครั้งนี้รุนแรงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นในรอบ 25 ปี” ตัน ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญกล่าว
การขนส่งปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ผักและผลไม้ ของใช้ในชีวิตประจำวัน และอาหาร ได้ถูกเปลี่ยนไปใช้ของจากประเทศอื่น
“ร้านอาหารที่เจ้าของเป็นคนไทยได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน แต่สถานการณ์จะดีขึ้นหากร้านอาหารไทยดำเนินการโดยคนท้องถิ่นหรือชาวต่างชาติ เพราะนั่นเป็นเพียงอาหาร ไม่ใช่ของคนไทย” ตัน กล่าว
“การคว่ำบาตรในกัมพูชาเป็นไปอย่างครอบคลุม ผู้คนจะไม่ซื้อ ไม่กิน หรือใช้ผลิตภัณฑ์ของไทย และพวกเขากำลังหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ของเวียดนาม มาเลเซีย และจีน”
นักธุรกิจไทยในกัมพูชาก็ต้องเก็บตัวเงียบ ปล่อยให้การเจรจาธุรกิจเป็นหน้าที่ของคนท้องถิ่นหรือตัวแทนต่างชาติ
โรงงานไทยบางแห่งถึงกับถอนผู้บริหารไทยทั้งหมดออก และแทนที่ด้วยผู้จัดการท้องถิ่นและชาวต่างชาติเพื่อให้ดำเนินงานต่อไปได้
“แม้แต่ผู้บริหารไทยเองก็ไม่กล้าอยู่นาน” เขากล่าว
นอกจากสินค้าอุปโภคบริโภคแล้ว ปตท. แบรนด์พลังงานแห่งชาติของไทย ก็ตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน
ผู้จัดจำหน่ายส่วนใหญ่ได้ยกเลิกสัญญาและเปลี่ยนไปใช้แบรนด์ในประเทศอย่าง Peace Petroleum Cambodia (PCC) อย่างสมบูรณ์ เครือร้านกาแฟ Café Amazon ของ ปตท. เครื่องดื่มชูกำลังคาราบาว และร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ตัน เชื่อว่า กระแสต่อต้านไทยและการคว่ำบาตรในกัมพูชาจะไม่บรรเทาลงในระยะสั้น และอาจกินระยะเวลาราว 3-5 ปี และต่อให้มีการเปิดพรมแดนอีกครั้ง ธุรกิจไทยก็คงจะต้องใช้เวลาในการสร้างตลาดใหม่
ที่มา: Asia News Network