xs
xsm
sm
md
lg

‘โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์’ หันมาประกาศสนับสนุน ‘ทรัมป์’ แถมเปิดฉากถล่มใส่ไม่ยั้ง ‘พวกนีโอคอนอเมริกัน’เรื่องก่อสงครามในยูเครน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เดวิด พี. โกลด์แมน


โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน (ขวา) กล่าวต้อนรับ โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอิสระ (ซ้าย) ขึ้นเวทีหาเสียงของเขา ระหว่างการปราศรัยหาเสียงที่เมืองเกลนเดล รัฐแอริโซนา เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ เคนเนดี จูเนียร์ เพิ่งประกาศยุติการรณรงค์หาเสียงของเขา แล้วหันมารับรองสนับสนุน ทรัมป์
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

RFK Jr endorses Trump, opens fire on US neocons
by David P. Goldman
24/08/2024

ประมาณการกันว่า หาก โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ ยังคงลงแข่งขันในนามของผู้สมัครอิสระต่อไปอีก เขาจะได้รับเสียงโหวตราว 10% ของผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายนนี้ ดังนั้น การที่เขาประกาศยุติการรณรงค์หาเสียง และหันมาสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ จึงอาจมีผลในทางตัดสินให้ทรัมป์คว้าชัยเหนือคู่แข่งคนสำคัญอย่าง กมลา แฮร์ริส ได้ทีเดียว

โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ ทายาทที่มีชีวิตอยู่คนสุดท้ายซึ่งยังคงพัวพันยุ่งเกี่ยวอยู่ในแวดวงการเมือง ของตระกูลเคนเนดี ที่ได้ฉายานามว่าเป็น “ราชวงศ์ทางการเมือง” ในสหรัฐฯ ได้ออกมาประกาศรับรองสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ในการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยในการประกาศดังกล่าวซึ่งปรากฏอยู่ในคำปราศรัยเนื้อหาดุเดือดเลือดพล่านชนิดไม่มีบันยะบันยังเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ประณามพวกชนชั้นนำทางนโยบายการต่างประเทศอเมริกันที่คอยยุแยงและทำให้สงครามยูเครนลากยาวออกไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาประณามพวกนีโอคอน (neocons หรือ Neoconservatives พวกอนุรักษนิยมใหม่ -ผู้แปล) ชาวอเมริกัน ว่าเป็นผู้ทำให้เกิดการสู้รบขัดแย้งยูเครนขึ้นมา รวมทั้งประกาศว่าคำมั่นสัญญาของ ทรัมป์ ที่จะเปิดการเจรจาใหม่กับรัสเซีย และยุติสงครามครั้งนี้โดยเร็วที่สุดเมื่อเขารับตำแหน่ง คือเหตุผลที่เพียงพอแล้วสำหรับการให้การรับรองสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของอดีตประธานาธิบดีผู้นี้

ตามผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดของ NBC poll เคนเนดี จูเนียร์ ซึ่งเป็นบุตรชายของอดีตรัฐมนตรียุติธรรมและวุฒิสมาชิก โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี น่าจะได้รับเสียงโหวต 10% ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีคราวนี้ ดังนั้น ในการแข่งขันที่มีความคู่คี่กันมากๆ แรงสนับสนุนของ เคนเนดี จูเนียร์ อาจจะกลายเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์ให้ ทรัมป์ เป็นผู้มีชัยเหนือคู่แข่งขันคนสำคัญที่สุดของเขา นั่นคือ กมลา แฮร์ริส

คำปราศรัยของ เคนเนดี จูเนียร์ คือคำฟ้องร้องที่ถือเอาชนชั้นนำด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯเป็นจำเลย สำหรับความผิดที่พวกเขาจงใจดึงลากรัสเซียเข้าไปในสงครามยูเครน โดยมีวัตถุประสงค์มุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในแดนหมีขาว

ไม่มีนักการเมืองที่ลงแข่งขันชิงชัยคนไหนอีกแล้วที่พุ่งเป้าโจมตีพวกชนชั้นปกครองอย่างครอบคลุมรอบด้านถึงขนาดนี้ ทรัมป์บอกกับพอดแคสต์รายหนึ่งในเดือนมิถุนายที่ผ่านมาว่า แผนการต่างๆ ในการขยายตัวของนาโต้คือตัวการยั่วยุให้เกิดสงครามคราวนี้ขึ้นมา และ เคนเนดี จูเนียร์ ก็ออกมากล่าวประณามอย่างชนิดละเอียดถี่ถ้วน, กว้างขวางครอบคลุม, และไร้ความปรานี

“กลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มทางทหารที่มีการจับมือประสานงานกันอย่างสลับซับซ้อน ได้อธิบายอ้างเหตุผลความชอบธรรม (สำหรับการทำสงครามยูเครน) แบบที่ปรากฏอยู่ในหนังสือการ์ตูนอันแสนคุ้นเคย เฉกเช่นเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้อ้างมาแล้วในสงครามครั้งต่างๆ ทุกๆ ครั้ง โดยในคราวนี้พวกเขาอ้างถึงความพยายามอันมีเกียรติที่จะต้องหยุดยั้งมหาวายร้ายผู้มีนามว่า วลาดิมีร์ ปูติน ในการเข้ารุกรานยูเครน รวมทั้งเพื่อขัดขวางการเดินทัพรุกรานไปทั่วทั้งยุโรปของ ปูติน ในรูปแบบเฉกเช่นเดียวกับที่ ฮิตเลอร์ ได้เคยกระทำมา” เคนเนดี จูเนียร์ กล่าว และพูดต่อไปว่า ในความเป็นจริงแล้ว “ยูเครนที่เป็นประเทศเล็กๆ แห่งนี้ เป็นเพียงตัวแทนรายหนึ่งในการต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งริเริ่มขึ้นมาจากความทะเยอทะยานของพวกนีโอคอนสหรัฐฯ ซึ่งมุ่งไขว่คว้าฐานะการมีอำนาจครอบงำเป็นเจ้าใหญ่เหนือใครในระดับโลกของอเมริกา”

พวกสื่อกระแสหลักของบริษัทกิจการสื่อมวลชนยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย จะต้องเพิกเฉยละเลยหรือไม่ก็บิดเบือนคำฟ้องร้องชนชั้นนำทางด้านนโยบายการต่างประเทศอย่างละเอียดละออของ เคนเนดี จูเนียร์ คราวนี้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผมบันทึกเอาไว้เกี่ยวกับประเด็นไฮไลต์ต่างๆ ในคำปราศรัยของเขา

“สงครามครั้งนี้คือการตอบโต้อย่างชนิดสามารถคาดการณ์ทำนายได้ล่วงหน้าของรัสเซีย ต่อโครงการของพวกนีโอคอนที่มุ่งขยายองค์การนาโต้และตีวงเข้าปิดล้อมรัสเซีย เรานั้นคือผู้โยนทิ้งยกเลิกสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง 2 ฉบับที่ได้ทำเอาไว้กับรัสเซีย โดยเป็นการยกเลิกตามลำพังฝ่ายเดียว แล้วจากนั้นก็นำเอาพวกระบบอาวุธนิวเคลียร์เข้าไปประจำในโรมาเนียและโปแลนด์ นี่คือพฤติการณ์แบบเป็นปรปักษ์โดยแท้ นอกจากนั้นแล้ว ทำเนียบขาวของ ไบเดน ยังปฏิเสธอย่างหยามหยันซ้ำแล้วซ้ำอีกต่อข้อเสนอของฝ่ายรัสเซียที่ขอให้มาทำความตกลงแบบรอมชอมกันเพื่อยุติสงครามคราวนี้อย่างสันติ” เคนเนดี จูเนียร์ บอก

“สงครามยูเครนนั้น” เขากล่าวต่อ “เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี 2014 แล้ว ตอนที่พวกองค์กรต่างๆ ของสหรัฐฯโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยของยูเครน แล้วแต่งตั้งรัฐบาลโปรตะวันตกที่พวกเขาเลือกมากับมือเข้าแทนที่ ซึ่งรัฐบาลดังกล่าวก็ได้เปิดฉากทำสงครามกลางเมืองแบบนองเลือดเพื่อโจมตีเล่นงานคนชาติพันธุ์รัสเซียในยูเครน ในปี 2019 อเมริกายังปฏิเสธไม่เอาด้วยกับสนธิสัญญาที่มุ่งสร้างสันติภาพ ซึ่งก็คือข้อตกลงกรุงมินสก์ (Minsk Agreement) ที่เกิดขึ้นจากการเจรจาระหว่างยูเครนกับรัสเซีย และอีกหลายๆ ชาติยุโรป ในเดือนเมษายน 2022 เราต้องการให้สงครามนี้ดำเนินต่อไปอีก ประธานาธิบดีไบเดนได้จัดส่ง บอริส จอห์นสัน (นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในเวลานั้น) ไปยูเครนเพื่อบังคับให้ประธานาธิบดี(โวโลดิมีร์) เซเลนสกี ฉีกข้อตกลงสันติภาพที่เขากับฝ่ายรัสเซียได้ลงนามกันไปแล้วด้วยซ้ำ รวมทั้งฝ่ายรัสเซียยังกำลังถอนทหารออกมาแล้วด้วย”

“ข้อตกลงสันติภาพดังกล่าว” เคนเนดี จูเนียร์ กล่าวต่อ “จะทำให้เกิดสันติภาพขึ้นในภูมิภาคแถบนี้ รวมทั้งยังเปิดทางให้ดินแดนดอนบาสส์ ( Donbass เขตอุตสาหกรรมสำคัญในภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งครอบคลุมแคว้นโดเนตสก์ และเคว้นลูฮันสก์ - ผู้แปล) ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน”

ทว่า “วัตถุประสงค์ (ของไบเดน) ในสงครามครั้งนี้คือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นในรัสเซีย” เคนเนดี จูเนียร์ ระบุ พร้อมกับอ้างอิงว่า “รัฐมนตรีกลาโหมของเขา (ลอยด์) ออสติน ... ได้อธิบายวัตถุประสงค์ของสงครามคราวนี้เอาไว้ว่า คือทำให้กองทัพรัสเซียเหนื่อยอ่อนหมดแรง และบั่นทอนศักยภาพความสามารถของพวกเขาในการเข้าสู้รบในที่อื่นๆ ไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้”

“วัตถุประสงค์เหล่านี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องเลยกับสิ่งที่พวกเขากำลังบอกเล่าให้ชาวอเมริกันฟังในเรื่องที่จะต้องพิทักษ์คุ้มครองอธิปไตยของยูเครน ยูเครนคือเหยื่อรายหนึ่งในสงครามนี้ และพวกเขาคือเหยื่อรายหนึ่งของฝ่ายตะวันตก ... เราได้ใช้สอยดอกไม้แห่งเยาวชนชาวยูเครนไปอย่างเปลืองเปล่าสุรุ่ยสุร่ายเหลือเกิน คนหนุ่มชาวยูเครนจำนวนมากมายถึง 600,000 คนทีเดียว แล้วยังคนหนุ่มชาวรัสเซียอีกมากกว่า 100,000 คน พวกเขาทั้งหมดเหล่านี้คือผู้ที่เราควรแสดงความโศกเศร้าไว้อาลัย ... โครงสร้างพื้นฐานของยูเครนยังถูกทำลายย่อยยับ ... สงครามคราวนี้ยังก่อให้ความหายนะขึ้นในประเทศของเราด้วยเช่นกัน เราได้ใช้จ่ายอย่างหมดเปลืองสุรุ่ยสุร่ายไปเกือบ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯแล้ว ทั้งๆ ที่มีความจำเป็นต้องการเงินงบประมาณอย่างเหลือเกินในชุมชนต่างๆ ของเราเอง”

เคนเนดี จูเนียร์ ยังอ้างอิงถึงรายงานข่าวที่มีการเผยแพร่กันอย่างกว้างขวางซึ่งระบุว่าพวกหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯนั่นเองที่เป็นผู้ดำเนินการทำลายเส้นทางลำเลียงหลักในการนำแก๊สรัสเซียไปยังเยอรมนี เขาบอกว่า “การก่อวินาศกรรมสายท่อส่งแก๊สนอร์ดสตรีม และการใช้มาตรการแซงก์ชั่นต่างๆ ต่อรัสเซีย ได้กลายเป็นการทำลายฐานทางอุตสาหกรรมของยุโรป ซึ่งแท้ที่จริงมันได้ก่อรูปกลายเป็นป้อมปราการให้แก่ความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกัน เยอรมนีที่แข็งแกร่งซึ่งมีอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง สามารถที่จะเป็นตัวป้องปรามรัสเซียได้อย่างเข้มแข็งยิ่งกว่านักหนา เมื่อเปรียบเทียบกับเยอรมนีที่อุตสาหกรรมการผลิตถูกทำลายและมีฐานะและบทบาทเป็นเพียงส่วนต่อขยายของฐานทัพสหรัฐฯเท่านั้น”

“เราได้ผลักไสรัสเซียให้เข้าไปสู่การจับมือเป็นพันธมิตรกับจีนและอิหร่าน ซึ่งอาจกลายเป็นตัวสร้างความหายนะ” เคนเนดี จูเนียร์ กล่าวต่อ “เราขยับเข้าไปใกล้ปากขอบเหวของการตอบโต้กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ยิ่งกว่าครั้งใดๆ นับตั้งแต่ปี 1962 เป็นต้นมา โดยที่พวกนีโอคอนในทำเนียบขาวดูเหมือนไม่ได้แยแสสนใจอะไรเลย ฐานะความเป็นผู้ทรงอำนาจในเชิงศีลธรรมของเรา และเศรษฐกิจของเราต่างกำลังอยู่ในสภาพวุ่นวายตุปัดตุเป๋ และสงครามครั้งนี้ยังทำให้เป็นโอกาสก้าวผงาดขึ้นมาของกลุ่มบริกส์ (BRICS) ที่เพิ่งปรากฏตัวเมื่อเร็วๆ นี้ แต่เวลานี้กำลังคุกคามที่จะเขhาแทนที่เงินดอลลาร์ในฐานะเป็นสกุลเงินสำรองของโลก”

“ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เขาจะเปิดการเจรจากับประธานาธิบดีปูตินขึ้นมาใหม่ และยุติสงครามนี้ภายในชั่วเวลาชั่วข้ามคืน เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นเหตุผลความชอบธรรมสำหรับที่ตัวผมจะให้ความสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของเขา”

การเป็นปัจจัยแทรกเข้ามาหนุน ทรัมป์ ของ เคนเนดี จูเนียร์ อาจจะกลายเป็นตัวตัดสินผลลัพธ์ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนนี้ ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผลกระทบทางอ้อมต่างๆ ที่มีต่อการเมืองอเมริกันก็จะเหนือล้ำเกินเลยไปจากเพียงแค่บุคลิกภาพและความทะเยอทะยานของพวกผู้สมัครลงแข่งขัน

เคนเนดี จูเนียร์ ได้หันไฟสปอตไลต์ให้ฉายไปยังประดาซอกโพรงมุมมืดของการเมืองอเมริกัน และแสดงให้เห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งผู้ออกเสียงชาวอเมริกันไม่สามารถที่จะไม่มองดู พวกสื่อใหญ่ที่ตกอยู่ใต้ภาคบริษัทธุรกิจ จะยังพยายามร้องขอให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเชื่อถือในสิ่งที่สื่อเหล่านี้บอกเล่าให้ฟัง แทนที่จะเชื่อถือสิ่งที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้ด้วยสายตาของพวกเขา ทว่าสำหรับในคราวนี้ ลูกไม้แบบนี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเสียแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น