รัสเซียอพยพประชาชนในแคว้นที่สองที่อยู่ติดกับยูเครน หลังเคียฟเพิ่มกิจกรรมทางทหารใกล้ชายแดน เวลาเดียวกัน มอสโกส่งสัญญาณจะตอบโต้อย่างเด็ดขาดทั้งผู้ที่ลงมือก่ออาชญากรรมเหล่านี้ รวมถึงต่างชาติที่ให้การสนับสนุน
ตามรายงานข่าวระบุว่า กองกำลังยูเครนบุกเข้าไปในดินแดนรัสเซียครั้งใหญ่รอบนี้ตั้งแต่เมื่อเช้าวันอังคาร (6 ส.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการโจมตีดินแดนรัสเซียโดยกองทัพต่างชาติครั้งใหญ่ที่สุดนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และจากนั้นตะลุยเข้าสู่พื้นที่บางส่วนด้านตะวันตกของแคว้นคูร์สก์
การโจมตีดังกล่าวดูเหมือนเป็นเซอร์ไพรส์ที่เครมลินไม่ทันตั้งตัว แต่ต่อจากนั้นกองทัพรัสเซียได้รีบส่งทหารกองหนุน รถถัง เครื่องบิน ปืนใหญ่ และโดรนไปช่วยกันสกัด โดยในวันอาทิตย์ (11) กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า ได้ใช้ยานยนต์หุ้มเกราะทำลายความพยายามของกองกำลังยูเครนในการฝ่าแนวกั้นและรุกเข้าไปในดินแดนรัสเซียลึกขึ้น
อย่างไรก็ดี คำแถลงนี้ยอมรับว่า กองกำลังบางส่วนของยูเครนรุกเข้าไปใกล้หมู่บ้านโทลปิโน และออบชีโคโลเดซที่อยู่ห่างจากชายแดน 25-30 กิโลเมตร
ต่อมาในวันจันทร์ (12) วียาเชสลาฟ แกลดคอฟ ผู้ว่าการแคว้นเบลโกร็อด ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ถัดไปทางคอนใต้ของแคว้นคูร์สก์ เผยว่า ได้เริ่มอพยพประชาชนจากเขตคราสนายายารูกา เนื่องจากมีภัยคุกคามจากการระดมกำลังที่แนวชายแดนของยูเครน
วันเดียวกันนั้น กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า ระบบป้องกันภัยทางอากาศได้ทำลายโดรนยูเครน 18 ลำ ซึ่งรวมถึง 11 ลำในคูร์สก์
รัสเซียยังสั่งเพิ่มมาตรการความมั่นคงทั้งในแคว้นคูร์สก์ บรีแยนสก์ และเบลโกร็อด ขณะที่เบลารุสซึ่งเป็นพันธมิตรกับมอสโก ก็ระดมทหารประจำตามแนวชายแดนติดต่อกับยูเครนหลังจากมินสก์กล่าวหาว่า โดรนของเคียฟรุกล้ำน่านฟ้า
เจ้าหน้าที่รัสเซียระบุว่า การโจมตีอย่างอุกอาจของยูเครนมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้ผู้สนับสนุนในตะวันตกเห็นว่า เคียฟสามารถทำปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ควบคู่ไปกับพยายามเพิ่มอำนาจต่อรองในการเจรจาหยุดยิงที่อาจเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดือนพฤศจิกายนที่จะถึง
ทั้งนี้ กองกำลังรัสเซียที่มีกำลังพลมากกว่าหลายเท่า บุกยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และปัจจุบันควบคุมดินแดนยูเครนอยู่ 18%
เคียฟออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโจมตีดินแดนรัสเซียครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ (10) โดยประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวว่า ยูเครนกระทำการดังกล่าวเพื่อฟื้นความยุติธรรมและกดดันกองกำลังรัสเซีย
เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงคนหนึ่งของยูเครนยังเผยว่า เป้าหมายของปฏิบัติการดังกล่าวยังรวมถึงการบั่นทอนกำลังรบของรัสเซีย สร้างความเสียหายให้มากที่สุด และทำลายเสถียรภาพภายในรัสเซียด้วยการแสดงให้เห็นว่า รัสเซียไม่สามารถปกป้องพรมแดนของตนเองได้
เจ้าหน้าที่คนเดิมเพิ่มเติมว่า รัสเซียประเมินต่ำไปมากว่า เคียฟส่งทหารเข้าไปแค่ 1,000 นาย เพราะจริงๆ แล้วมีทหารยูเครนบุกข้ามแดนเข้าไปหลายพันนาย
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของยูเครนกล่าวว่า รัสเซียไม่ได้ถอนทหารจากภาคตะวันออกของยูเครนเพื่อไปเสริมกำลังรบในคูร์สก์อย่างที่นักวิเคราะห์บางคนคิด และเขายังคาดว่า ที่สุดแล้วรัสเซียจะจัดการหยุดยั้งการรุกรานของยูเครนได้
กระนั้น การโจมตีของยูเครนทำให้บางคนในมอสโกตั้งคำถามว่า เหตุใดเคียฟจึงเจาะชายแดนเข้าไปโจมตีในคูร์สก์ได้อย่างง่ายดายหลังกรำศึกรุนแรงมากว่า 2 ปี ซึ่งถือเป็นสงครามที่ตึงเครียดที่สุดในยุโรปนับจากสงครามโลกครั้งที่ 2
นอกจากนั้น แม้อเมริกาออกตัวว่า ไม่ได้รับแจ้งจากยูเครนก่อนเปิดฉากบุกรัสเซีย แต่มีสัญญาณว่า มอสโกจะไม่ยอมนิ่งเฉย โดยมาเรีย ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย แถลงว่า ผู้อยู่เบื้องหลังและผู้ลงมือก่ออาชญากรรมเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงต่างชาติที่ให้การสนับสนุนจะต้องรับผิดชอบ และสำทับว่า การตอบโต้อย่างเด็ดขาดจากกองทัพรัสเซียจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้
ขณะเดียวกัน รัสเซียและยูเครนต่างโทษกันเรื่องที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาโปริซเซียในแคว้นซาโปริซเซียของยูเครน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในยุโรป ที่กองทัพรัสเซียควบคุมบางส่วน เกิดไฟไหม้เมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งราฟาเอล กรอสซี ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (ไออีอีเอ) ออกคำแถลงเตือนว่า แม้ไม่มีสัญญาณนิวเคลียร์รั่วไหล แต่การโจมตีอย่างประมาทนี้เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้า และเพิ่มความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุด้านนิวเคลียร์
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี)