ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศกร้าว ระหว่างให้สัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งเมื่อวันศุกร์ (5 ก.ค.) ว่าเขาไม่ยอมรับผลโพลต่างๆ ที่ระบุว่าคะแนนนิยมของเขาดำดิ่ง หลังศึกประชันวิสัยทัศน์ครั้งหายนะเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
ระหว่างการสัมภาษณ์ จอร์จ สเตฟาโนปูลอส พิธีกรของสำนักข่าวเอบีซี กล่าวกับ ไบเดน ว่า "ท่านประธานาธิบดี ผมไม่เคยเห็นประธานาธิบดีคนไหนที่มีคะแนนนิยม 36% แล้วได้รับเลือกกลับมาดำรงตำแหน่งอีกสมัย"
ไบเดน ตอบว่า "ผมไม่เชื่อเช่นกันว่ามันเป็นคะแนนนิยมของผม มันไม่ใช่ในสิ่งที่โพลต่างๆ ของเราโชว์ออกมา" อย่างไรก็ตามประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายนี้ไม่ได้เจาะจงว่าเขาใช้ข้อมูลของโพลใดในการประเมินสถานการณ์
ผลสำรวจของนิวยอร์กไทม์ส/วิทยาลัยเซียนา ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พบว่ามีผู้มีสิทธิออกเสียงเพียง 36% ที่เห็นชอบกับแนวทางบริหารจัดการของ ไบเดน ในฐานะประธานาธิบดี และมีผลสำรวจเดียวกัน พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้า ไบเดน อยู่ 49% ต่อ 43% ขยายระยะห่างเพิ่มเติมจาก 3 จุด ในช่วงก่อนหน้าศึกดีเบต
"คุณรู้จักโพลดีกว่าใครๆ คุณคิดว่าข้อมูลโพลนั้นมีความถูกต้องอย่างที่มันเคยเป็นหรือ?" ผู้นำสหรัฐฯ พยายามตอบโต้ ตอนที่ สเตฟาโนปูลอส ยืนยันว่าเขามีคะแนนนิยมห่างจาก ทรัมป์ ไม่มากนัก แต่ก็ยังคงเป็นฝ่ายตามหลังตั้งแต่ก่อนศึกประชันวิสัยทัศน์แล้ว
ไบเดน ยืนกรานว่า "ไม่มีใครมีคุณสมบัติเหมาะเป็นประธานาธิบดีหรือคู่ควรได้รับชัยชนะในการชิงชัยมากกว่าผม" พร้อมเน้นย้ำจะไม่ถอนตัว แม้บรรดาสมาชิกระดับสูงของพรรคเดโมแครตจะขอให้ทำเช่นนั้น โดยบอกว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่จะโน้มน้าวให้เขายุติการลงแข่งขัน
ไบเดน กำลังดิ้นรนปัดเป่าความกังวลที่ว่าเขามีศักยภาพทางจิตใจและร่างกายเหมาะสำหรับดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศอีก 4 ปีหรือไม่ หลังจากทำผลงานติดๆ ขัดๆ ระหว่างศึกประชันวิสัยทัศน์รอบแรกกับ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งจากรีพับลิกัน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ดูมีท่าทางอ่อนแอและสับสนอย่างมากตลอดการดีเบตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยซีบีเอสนิวส์/ยูโกฟ หลังจากนั้น พบว่ามีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งถึง 72% ที่เชื่อว่า ไบเดน มีสุขภาพทางจิตและสติปัญญาไม่เข้มแข็งเพียงพอที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยซัฟฟอล์ค/ยูเอสเอ ทูเดย์ ที่เผยแพร่ในวันอังคาร (9 ก.ค.) พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนิยมนำหน้า ไบเดน 3% ส่วนผลสำรวจโดย SSRS ที่จัดทำให้กับ ซีเอ็นเอ็น พบว่า ทรัมป์ มีคะแนนนำ 6%
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)
