xs
xsm
sm
md
lg

จับตาการเปลี่ยนระบอบปกครองในยูเครนเร็วๆ นี้ ‘เซเลนสกี’อยู่ลำบากหลังการสูญเสียครั้งสำคัญที่‘อัฟดิอิฟกา’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สตีเฟน ไบรเอน


ตามการแถลงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยูเครน ฝ่ายรัสเซียได้โจมตีเมืองเซลีดอฟ ในตอนดึกของคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ โดยขีปนาวุธที่ยิงเข้าไปได้ทำลายอาคาร 5 ชั้นหลังหนึ่งซึ่งมีห้องพักรวม 12 ห้องถูกทำลายยับเยิน และมีผู้คนติดอยู่ในกองปรักหักพัง ขณะที่เรื่องเล่าของฝ่ายรัสเซียกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือ แดนหมีขาวโจมตีใส่กองทหารยูเครนซึ่งรวมพลกันอยู่ที่เมืองนี้ ด้วยจุดหมายจะไปช่วยปกป้องเมืองอัฟดิอิฟกาที่กำลังจะแตก (ภาพนี้เผยแพร่โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติยูเครน)
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Regime change is coming – to Kiev
By STEPHEN BRYEN
20/02/2024

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี อาจจะถูกบังคับให้ต้องยอมลงจากตำแหน่งในเร็ววันนี้ ภายหลังความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่แก่ทัพรัสเซียที่เมืองอัฟดิอิฟกา

วอชิงตันชมชอบนักที่จะวาดหวังว่า ตนเองกำลังจะสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในรัสเซียได้แล้ว เวลานี้มันยิ่งดูเป็นไปได้มากขึ้นอีกที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองขึ้นมาจริงๆ ทว่าไม่ใช่ในรัสเซีย –มันกำลังจะเกิดขึ้นในกรุงเคียฟ

ตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในเคียฟ ก็คือ ศึกชิงเมืองอัฟดิอีฟกา (Avdiivka) ที่นองเลือดและบัดนี้จบสิ้นลงไปแล้ว

อัฟดิอีฟกา ตั้งอยู่ใกล้กันมากกับเมืองโดเนตสก์ (Donetsk) ที่เป็นเมืองเอกของแคว้นชื่อเดียวกัน โดเนตสก์ตั้งอยู่ประมาณครึ่งทางระหว่างเมืองมาริอูโปล (Mariupol) เมืองท่าริมทะเลอาซอฟ (Sea of Azov) กับเมืองลูฮันสก์ (Luhansk) ซึ่งอยู่ทางเหนือขึ้นไป ทั้ง โดเนตสก์ และ ลูฮันสก์ ต่างเป็นแคว้น (โอบลาสต์ oblast) ในยูเครนตะวันออก ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นคนพูดภาษารัสเซีย โดยที่ โดเนตสก์ และลูฮันสก์ กับอีก 2 แคว้นที่อยู่ลงมาทางใต้ ได้แก่ เคียร์ซอน (Kherson) และ ซาโปริซเซีย (Zaporizhzhia) ถูกทางรัสเซียประกาศผนวกเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของพวกเขาในเดือนกันยายน 2022

ทหารกองเกียรติยศของรัสเซียถือเอกสารเตรียมพร้อมสำหรับการลงนาม ในพิธีประกาศผนวก 4 แคว้นของยูเครนซึ่งกองทหารรัสเซียยึดครองอยู่ ได้แก่ ลูฮันสก์, โดเนตสก์, เคียร์ซอน, และซาโปริซเซีย เข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2022 ณ ทำเนียบเครมลิน ในกรุงมอสโก
ศึกสู้รบชิงเมืองอัฟดิอิฟกาที่เกิดขึ้นระยะหลังๆ นี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 4 เดือนก่อน และนับจากเดือนมกราคมฝ่ายรัสเซียก็ได้เริ่มบดบี้กัดกร่อนการป้องกันเมืองนี้ของฝ่ายยูเครนให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ การปฏิบัติการของฝ่ายรัสเซีย ซึ่งมีทั้งการโจมตีจากทางเหนือ โดยบางส่วนเน้นหนักไปที่โรงงานทำถ่านหินโค้ก (coke) ขนาดใหญ่มหึมาที่นั่น และการโจมตีจากทางใต้ในการโหมเข้าตีเป็นหลายๆ ระลอกบริเวณด้านปีกของตัวเมือง

เมื่อถึงช่วงสิ้นสุดสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ กองทัพรัสเซียก็สามารถตัดขาดเมืองนี้ออกเป็น 2 ส่วน และค่อยๆ รุกคืบหน้าเข้ามาเรื่อยๆ ขณะที่ถล่มเมืองด้วยปืนใหญ่และระเบิด FAB ทั้งนี้ระเบิดแบบนี้เป็นลูกระเบิดแรงสูงขนาดต่างๆ (FAB-500, FAB-1500 –ตัวเลขเหล่านี้คือขนาดของลูกระเบิดหน่วยเป็นกิโลกรัม)

ภาพนี้ซึ่งถ่ายเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2023 แสดงให้เห็นส่วนหนึ่งของโรงงานถ่านโค้กและเคมีภัณฑ์อัฟดิอิฟกา ในเมืองอัฟดิอิฟกา แคว้นโดเนตสก์ ซึ่งฝ่ายรัสเซียสู้รบช่วงชิงกับฝ่ายยูเครนมาเป็นเวลาแรมปี
อัฟดิอิฟกามีการสร้างปราการป้องกันเอาไว้อย่างแข็งแรง และเป็นเป้าหมายที่ยากลำบากแก่การเข้าตีสำหรับกองทัพรัสเซีย ฝ่ายรัสเซียโฟกัสไปที่การโจมตีจากด้านปีกซึ่งในที่สุดแล้วก็บีบคั้นสร้างอุปสรรคแก่การจัดส่งอาวุธและอาหารเพิ่มเติมทดแทนส่วนที่ร่อยหรอของฝ่ายยูเครน ตลอดจนทำให้การผลัดเปลี่ยนกำลังพลประสบความลำบาก เมื่อการสู้รบมาถึงสัปดาห์ที่แล้ว ถนนสายต่างๆ ทั้งในและนอกตัวเมืองก็ตกอยู่ใต้การควบคุมด้วยกำลังยิงของฝ่ายรัสเซีย

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี นำเอาชื่อเสียงเกียรติภูมิของเขามาวางเป็นเดิมพันเอาไว้กับเมืองอัฟดิอิฟกา และต้องการให้รักษาเมืองนี้เอาไว้ให้ได้ไม่ว่าจะต้องสูญเสียมากมายขนาดไหนก็ตามที เขาสั่งปลดผู้บัญชาการกองทัพยูเครนของเขา (พลเอก)วาเลรี ซาลุจนี (Valery Zaluzhny) ผู้ซึ่งมองว่าสถานการณ์ที่อัฟดิอิฟกาเพลี่ยงพล้ำจนไม่สามารถกู้กลับคืนได้แล้ว ซาลุจนีต้องการดึงกำลังทหารยูเครนกลับออกมาจากเส้นแนวปะทะที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และเคลื่อนย้ายทหารเหล่านี้เข้าไปประจำยังปราการที่มั่นต่างๆ ซึ่งยังสามารถใช้ในการป้องกันกรุงเคียฟตลอดจนเมืองสำคัญแห่งอื่นๆ ได้

ประธานาธิบดีเซเลนสกี ถ่ายเซลฟี บริเวณด้านหน้าของแผ่นป้ายที่เขียนเอาไว้ว่า “อัฟดิอิฟกาคือยูเครน” ในเมืองอัฟดิอิฟกา เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2023  ทั้งนี้บริเวณนี้ถูกกองทหารรัสเซียยึดเอาไปได้ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2024
ตรงนี้เอง (พลโท)โอเลคซานดร์ ซีร์สกี (Oleksandr Syrsky) ได้เข้ามาแทนที่ เขาเคยเป็นผู้บัญชาการของกองทหารภาคพื้นดินซึ่งขึ้นต่อซาลุจนี และถึงเวลานี้ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบสั่งการกองทหารยูเครนทั้งหมด ซีร์สกีคือคนเดียวกันกับที่ยุทธวิธีของเขาถูกนำไปใช้จนนำไปสู่การพังครืนของเมืองบัคมุต (Bakhmut) และเกิดการบาดเจ็บล้มตายสูงลิ่ว ทำให้เมืองแห่งนั้นได้สมญานามว่าเป็น “เครื่องบดเนื้อ” (meat grinder)

ซีร์สกี เรียกระดมทหารจำนวน 3 หรือ 4 กองพลน้อยเข้ามาในทันทีเพื่อรักษาอัฟดิอิฟกาไว้ไม่ให้ล้มครืน ทว่าการปฏิบัติการช่วยชีวิตที่เขาวางแผนไว้กลับตกลงไปในความลำบากยุ่งยากอย่างสาหัสสากรรจ์แทบจะในฉับพลันนั้นเอง

บางกองพลน้อยของ ซีร์สกี ได้ไปรวมพลและจัดกำลังกันในเมืองแห่งหนึ่งห่างจากอัฟดิอิฟการาว 15 กิโลเมตร เมืองนี้มีชื่อว่าเซลีดอฟ (Selydove) ฝ่ายรัสเซียค้นพบการปฏิบัติการของกองทัพฝ่ายยูเครนในเซลีดอฟ และระดมโจมตีด้วยขีปนราวุธอิสคานเดอร์ (Iskander) ตลอดจนพวกอาวุธระเบิดดาวกระจาย (คลัสเตอร์ บอมบ์)

อาคารที่ถูกทำลายยับเยินหลังหนึ่งในเมืองเซลีดอฟ  อาคารนี้เป็นโรงพยาบาลหรือว่าเป็นค่ายทหาร หรือว่าเป็นทั้งสองอย่าง?  สำนักงานตำรวจแห่งชาติยูเครนนั้นระบุว่ามันเป็นโรงพยาบาล  (ภาพนี้เผยแพร่โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติยูเครน)
ตามการบอกเล่าของพวกแหล่งข่าวฝ่ายรัสเซียซึ่งโพสต์ข้อความทางบล็อกต่างๆ บนเครือข่ายสื่อหลายหลาก (เทเลแกรม และ เอ็กซ์ เป็นต้น) การโจมตีของฝ่ายรัสเซียเรียกได้ว่าสามารถกวาดล้างทหารยูเครนไปได้แทบทั้งกองพลน้อย โดยทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างหนักหน่วงมาก

โรงงานเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของยูเครนรีบเร่งทำงานแบบเต็มกำลัง โดยกล่าวหาว่าการโจมตีของฝ่ายรัสเซียมุ่งไปที่หอคนไข้ผดุงครรภ์ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเซลีดอฟ แต่ความเป็นจริงยังคงมีอยู่ว่ายูเครนสูญเสียกำลังทหารไปราวๆ 1,000 ถึง 1,500 คน

พวกแหล่งข่าวฝ่ายตะวันตกส่วนใหญ่ ออกมาแถลงแบบท่องไปตามบทของฝ่ายยูเครน

เซเลนสกี กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมความมั่นคงแห่งมิวนิก (Munich Security Conference) ที่ซึ่งเขาได้รับการยกย่องด้วยการยืนปรบมือต้อนรับ ก่อนที่เขาออกจากกรุงเคียฟนั้น เขาสั่งให้ ซีร์สกี ต้องหยุดยั้งฝ่ายรัสเซียเอาไว้อย่าให้เข้ายึดอัฟดิอิฟกาได้

ประธานาธิบดีเซเลนสกี ขณะกล่าวปราศรัย ณ การประชุมความมั่นคงมิวนิก ในเมืองมิวนิก ทางภาคใต้ของเยอรมนี เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2024 เซเลนสกีกำลังพยายามหาทางปลุกขวัญพวกพันธมิตรตะวันตกและเรียกร้องให้พวกเขาเพิ่มความสนับสนุนทั้งทางการเงินและทางทหารแก่ยูเครน ขณะที่ประเทศของเขากำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบรัสเซียอย่างชัดเจนในสงคราม
ซีร์สกี จัดแจงสั่งการให้กองพลน้อยที่ 3 (3rd Brigade) เข้าสู้รบเพื่อป้องกันเมือง กองพลน้อยที่มีชื่อเรียกว่า กองพลน้อยโจมตีหน่วยแยกที่ 3 (3rd Separate Assault Brigade) นี้ ในความเป็นจริงแล้วก็คือกองพลน้อยอาซอฟ (Azov Brigade) ซึ่งได้รับการปฏิรูปฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ กองพลน้อยอาซอฟคือกระดูกสันหลังของกลุ่มนักชาตินิยมสุดขั้วที่เป็นพวกผู้สนับสนุนของเซเลนสกีในยูเครน ถ้าหากจะมีองค์การใดๆ ในยูเครนซึ่งสอดคล้องเข้ากันเหมาะเหม็งกับคำบรรยายเกี่ยวกับพวกนาซียูเครนของปูตินแล้ว กองพลน้อยที่ 3 นี่แหละคือตัวอย่างระดับพรีเมี่ยมทีเดียว อำนาจทางการเมืองของเซเลนสกีนั้นต้องพึ่งพาอาศัยฝ่ายทหารของยูเครน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนักชาตินิยมสุดขั้ว

พวกนักเคลื่อนไหวขวาจัดกลุ่ม “อาซอฟ” พากันเปล่งคำขวัญระหว่างการเดินขบวนสวนสนาม  ทั้งนี้กองทหารและอาสาสมัครชาวยูเครนหลายพันคนเข้าร่วมใน “การเดินขบวนสวนสนามของผู้รักชาติ” ในกรุงเคียฟ เพื่อระลึกถึงวันอาสาสมัคร เป็นการให้เกียรติแก่อาสาสมัครทั้งหลายซึ่งเข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพยูเครน ทั้งนี้กลุ่มอาซอฟ ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธอาสาสมัครที่เคลื่อนไหวอยู่ในยูเครนตะวันออก โดยเฉพาะที่เมืองมาริอูโปล เมืองท่าริมทะเลอาซอฟ  และรู้จักกันในชื่อว่า “กองพันอาซอฟ” ก็ได้เข้าร่วมในกองทัพยูเครน และได้รับการขยายกำลังพลในเวลาต่อๆ มา จนกลายเป็น “กองพลน้อยอาซอฟ”
กองพลน้อยที่ 3 ไม่ได้แสดงความสามารถในการสู้รบตามที่ถูกโฆษณากันเอาไว้ ตอนที่หน่วยต่างๆ ของพวกเขาเข้าไปในอัฟดิอิฟกา โดยเคลื่อนมาจากตอนเหนือ พวกเขาก็พบว่าสถานการณ์เลวร้ายมาก เมื่อถึงเวลานั้น มีทหารยูเครนราว 4,500 คนอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ทางตอนเหนือของเมือง ส่วนใหญ่ที่สุดฝังตัวเองอยู่ภายในโรงงานถ่านโค้ก อีกราว 3,500 คนอยู่ในบริเวณกลางเมืองค่อนข้างไปพวกเขตต่างๆ ทางด้านใต้ และสนามบินเก่าที่ถูกทิ้งร้างไปแล้ว

ปรากฏว่ากองพลน้อยที่ 3 ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง และพากันหลบหนีออกไปจากเมือง เป็นการยกเลิกคำสั่งอันชัดเจนของทั้ง ซีร์สกี และ เซเลนสกี เหนือสิ่งอื่นใดเลย เซเลนสกีไม่ต้องการที่จะได้รับความอับอายขายหน้าขณะที่เขายังอยู่ในการประชุมที่มิวนิกพอดิบพอดี โดยที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการตระเวนวิ่งรอกไปทั่วของเขาเพื่อพยายามให้ชาติตะวันตกทั้งหลายจัดส่งเครื่องกระสุนให้แก่ยูเครนมากขึ้นอีก

กำลังพลบางส่วนจากกองพลน้อยที่ 3 ได้ยอมจำนนให้แก่ฝ่ายรัสเซีย นี่แหละคือสิ่งที่จุดชนวนให้ ซีร์สกี ต้องส่งสัญญาณให้ถอยทัพและละทิ้งเมืองอัฟดิอิฟกา การถอยทัพนี้เป็นการตีกระหน่ำอย่างสำคัญใส่เกียรติภูมิของเซเลนสกี และดูเหมือนว่ามีการต่อโทรศัพท์ด้วยความโกรธกริ้วจากมิวนิกไปถึงซีร์สกี แต่ ซีร์สกี แทบไม่มีทางเลือกอื่นเหลือแล้ว นอกจากการยอมแพ้ต่อฝ่ายรัสเซียอย่างเปิดเผย แทนที่จะทำเช่นนั้น เขาได้ออกมาประกาศยุทธศาสตร์ “ใหม่” ที่เหมือนกันมากกับสิ่งที่ ซาลุจนี ได้เคยเสนอแนะเอาไว้ก่อนหน้านี้

การสูญเสีย อัฟดิอิฟกา ทำให้เซเลนสกีตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย เขาได้สูญเสียพวกผู้สนับสนุนที่กระตือรือร้นที่สุดในกองทัพของเขาไปแทบทั้งหมดแล้ว ขณะที่ได้สร้างความอับอายขายหน้าให้แก่ ซาลุจนี อดีตผู้บัญชาการใหญ่ของเขา และแทนที่ ซาลุจนี ด้วย ซีร์สกี ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็น “ไอ้ขี้แพ้” คนหนึ่ง เขายังต้องเสียหน้าเสียเกียรติภูมิกับพวกชาวยุโรป –และบางทีอาจจะกับสหรัฐฯด้วย ถึงแม้มันยังเป็นเรื่องยากที่จะบอกด้วยความแน่ใจ

ซีร์สกี ผู้บัญชาการคนใหม่ของกองทัพยูเครน ขณะให้สัมภาษณ์ ZDF สื่อทีวีเยอรมนี ช่วงไม่กี่วันก่อนที่เขาต้องออกคำสั่งให้ทิ้งเมืองอัฟดิอิฟกา
เซเลนสกีพยายามตอบโต้ด้วยการประกาศว่ายูเครนจะชิงเอาอัฟดิอิฟกาคืนมาให้ได้ “อย่างแน่นอนที่สุด”

วอชิงตันนั้นไม่ต้องการที่จะติดต่อทำความตกลงกับฝ่ายรัสเซีย โฟกัสของพวกเขาทั้งหมดกำลังอยู่ที่เรื่องการทำให้รัสเซียต้องประสบความเพลี่ยงพล้ำพ่ายแพ้ในหลายๆ ด้าน, บีบคั้นฝ่ายรัสเซียให้แห้งเฉาตาย, และเปลี่ยนตัวผู้นำของประเทศนั้น ซึ่งก็คือ ปูติน ทีมของไบเดนยังทนไม่ได้เช่นกันที่จะยอมรับแนวความคิดที่ว่า ฝ่ายยูเครนอาจจะเป็นฝ่ายไปทำดีลกับรัสเซีย และบ่อนทำลายนโยบายนี้ของไบเดน

ส่วนประกอบใจกลางแทบทั้งหมดของนโยบายของวอชิงตันนี้ ต่างล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าไปแล้ว การแซงก์ชั่นอย่างล้นเกินไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียพังพินาศ แต่กลับประสบความสำเร็จในการขับดันฝ่ายรัสเซียให้เดินหน้าเข้าสู่ทิศทางใหม่อย่างเต็มฝีเท้า ด้วยการเข้าสวมกอดรวมกำลังกับจีนและอินเดียและกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) เทคโนโลยีของสหรัฐฯไม่สามารถที่จะหันเหกระแสคลื่นของสงครามให้หมุนกลับมาเป็นประโยชน์แก่ยูเครนได้

การไม่พูดจากับฝ่ายรัสเซียยิ่งช่วยเพิ่มความหนักแน่นให้แก่ทัศนะของทางฝ่ายรัสเซียที่ว่า วอชิงตันและนาโต้คือพวกศัตรู ยิ่งเพิ่มความเข้มข้นให้แก่ทัศนะความไม่พอใจซึ่งพวกเขามีมายาวนานแล้วที่ว่า พวกเขาถูกหลอกลวงมาโดยตลอดในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการขยายตัวของนาโต้ เวลาเดียวกัน ไม่ว่าสหรัฐฯหรือยุโรปต่างก็ไม่สามารถหรือต่างก็จะไม่ชุบชีวิตให้แก่ฐานทางอุตสาหกรรมกลาโหมของพวกเขา ทว่าฝ่ายรัสเซียกลับกำลังทำเช่นนั้นอย่างคึกคักด้วยความต้องการแก้แค้น

ขณะเดียวกันนี้ สหรัฐฯกับยุโรปกำลังกำลังยืนหยัดต่อไปเพื่อให้สงครามครั้งนี้จบลง และเพื่อเงินทองหลายแสนล้านดอลลาร์ที่จะนำเอาใช้ในการสร้างยูเครนขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยลงไปเรื่อยๆ ภายใต้การอุปถัมภ์ของสหรัฐฯและทางยุโรป

เรื่องสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเลยในเวลานี้ก็คือว่า ระบอบปกครองของเซเลนสกีกำลังสั่นคลอน เนื่องจากระบอบปกครองของเขาอิงอาศัยกฎอัยการศึก ดังนั้นมันก็จะไม่มีการเลือกตั้งใดๆ และไม่มีกระบวนการทางการเมืองแบบเปิดกว้างใดๆ ทว่าความโกรธเกรี้ยวในกองทัพนั้นกำลังเพิ่มทวีขึ้นทุกที และในไม่ช้าไม่นาน ฝ่ายทหารก็จะเลือกผู้นำขึ้นมาสักคนหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสมากที่สุดที่จะเป็น ซาลุจนี

กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองขึ้นมาแล้วในกรุงเคียฟ ในเร็ววันนี้แหละ

สตีเฟน ไบรเอนเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ Center for Security Policy และ Yorktown Institute ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน

(ภาพเผยแพร่โดยกระทรวงกลาโหมรัสเซียในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2024) รัฐมนตรีกลาโหม เซียร์เก ชอยกู ของรัสเซีย (ซ้าย) ตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ของยูเครนซึ่งฝ่ายรัสเซียยึดเอาไว้ได้ ขณะที่เขาเดินทางไปตรวจเยี่ยมกองทหารรัสเซียซึ่งสามารถ “ปลดแอก” เมืองนี้จากฝ่ายยูเครนได้สำเร็จ
หมายเหตุผู้แปล

อาร์ที สื่อมวลชนของทางการรัสเซีย ก็ได้เสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับกองทหารแดนหมีขาวตีเมืองอัฟดิอีฟกาแตก  จึงขอเก็บความนำมาเสนอในที่นี้ดังนี้:


รมว.กลาโหมรัสเซียตรวจเยี่ยมเหล่าทหารที่เข้ายึดเมืองอัฟดิอิฟกา
โดย อาร์ที

Russian defense chief inspects troops who took Avdeevka
By RT
24/02/2024

รัฐมนตรีกลาโหม เซียเก ชอยกู ได้รับรายงานว่า สามารถจับทหารยูเครนได้ 200 คนระหว่างการปฏิบัติการกวาดล้างสะสางเมืองอัฟดิอิฟกา ขณะที่กระทรวงกลาโหมให้ตัวเลขว่า ฝ่ายเคียฟสูญเสียทหารไปกว่า 1,500 คนในตอนที่พวกเขาถอยหนีแตกพ่ายออกจากเมืองนี้

รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เซียร์เก ชอยกู เดินทางไปตรวจเยี่ยม “ศูนย์กลาง” ของกลุ่มกองทหารที่เมื่อเร็วๆ นี้ สามารถขับไล่กองกำลังฝ่ายยูเครนให้ถอยออกไปจากอัฟดิอิฟกา เมืองทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคดอนบาสส์ได้เมื่อเร็วๆ นี้ ภายหลังการสู้รบอย่างขมขื่นยากลำบากมาเป็นเวลาหลายเดือน

ในคำแถลงที่ออกมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ กระทรวงกลาโหมรัสเซียบอกว่า ชอยกูได้รับทราบรายงานจากเหล่าผู้บังคับบัญชาระดับสูง รวมทั้งผู้บัญชาการของกลุ่มกองทหารกลุ่มนี้ พลเอกอันเดรย์ มอร์ดวิเชฟ ( Colonel General Andrey Mordvichev) เกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดในสมรภูมิ

มอร์ดวิเชฟ รายงาน ชอยกู ว่า กองทหารของพวกเขาได้ผลักดันกองกำลังฝ่ายเคียฟให้ถอยร่นไปเป็นระยะทางมากกว่า 10 กิโลเมตรระหว่างการปฏิบัติการชิงเมืองอัฟดิอิฟกา และการรุกก็ยังกำลังดำเนินอยู่ เขากล่าวต่อไปว่า “ถึงแม้ระบอบปกครองเคียฟกำลังโอดครวญเรื่องขาดแคลนพวกเครื่องกระสุนสำหรับปืนใหญ่อย่างร้ายแรง ทว่าความเข้มข้นดุเดือดในการยิงปืนใหญ่ของฝ่ายศัตรูก็ไม่ได้ลดระดับลงเลย”

บรรดานายทหารรัสเซียยังรายงานชอยกูว่า กองทหารยูเครนในส่วนซึ่งอยู่ที่อัฟดิอิฟกาได้ยอมแพ้เป็นจำนวนมาก ตามปากคำของมอร์ดวิเชฟ ทหารรัสเซียจับเชลยศึกชาวยูเครนเอาไว้แล้ว 200 คนระหว่างการปฏิบัติการกวาดล้างสะสางในเมืองแห่งนี้ และน่าจะจับได้อีก 100 คนในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า ขณะที่ชอยกูเน้นย้ำว่า ควรปฏิบัติต่อฝ่ายยูเครน “แบบมีมนุษยธรรม อย่างที่ได้กระทำอยู่แล้วเสมอมา”

รัฐมนตรีกลาโหมยังกล่าวยกย่องกองทหารรัสเซียเกี่ยวกับการปฏิบัติการของพวกเขา อีกทั้งได้มอบอาวุธเกียรติยศแก่ทหารที่สร้างเกียรติประวัติโดดเด่นให้แก่พวกเขาเองในการปฏิบัติการที่อัฟดิอิฟกา เขาชี้ด้วยว่าพวกโดรนกำลังแสดงบทบาทสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในการสู้รบขัดแย้งครั้งนี้ ทั้งนี้ตามคำแถลงของกระทรวงกลาโหม พวกอากาศยานไร้นักบินได้ทำลายเป้าหมายต่างๆ ของข้าศึกษาไปกว่า 700 เป้าหมาย ทั้งที่อยู่ภายในและที่อยู่รอบๆ อัฟดิอิฟกาในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งพวกยานเกราะและปืนใหญ่

ชอยกูยังได้ชมพวกอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตะวันตกซึ่งรัสเซียยึดได้ ขณะที่ทำพิธีมอบฮาร์ดแวร์เหล่านี้ให้แก่รัฐมนตรี พลโทเอฟเกนี ซินดยาย์คิน (Lieutenant General Evgeny Tsindyaykin) รองผู้บัญชาการของเขตทหารตอนกลาง (Central Military District) ของรัสเซีย ชี้ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฝ่ายตะวันตกจัดหาให้แก่ยูเครน บางส่วนไม่เหมาะสมแก่การใช้งานในดอนบาสส์ ซึ่งก็รวมไปถึงรถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะM113 ที่เขาระบุว่ามีศักยภาพต่ำในการเคลื่อนผ่านพื้นที่ชนบท

“ถ้าหากเราวิเคราะห์ (อาวุธยุทโธปกรณ์) ต่างๆ หลายหลากที่นำมาแสดงในที่นี้ทั้งหมด เราก็กำลังเผชิญหน้ากับศักยภาพทางทหาร-ทางอุตสากรรมโดยรวมอย่างสมบูรณ์ของนาโต้” ซินดยาย์คิน กล่าวต่อ

กองทหารรัสเซียสามารถเข้ายึดเมืองอัฟดิอิฟกาซึ่งมีการสร้างปราการตั้งแนวป้องกันเอาไว้เต็มไปหมดเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่กองทหารยูเครนประสบการบาดเจ็บล้มตายหลายครั้งหลายคราวในระหว่างการล่าถอย ตามตัวเลขของกระทรวงกลาโหมในมอสโก เคียฟสูญเสียทหารไปมากกว่า 1,500 คนในการถอยทัพครั้งนี้

เมืองนี้ถูกกองกำลังยูเครนยึดเอาไปได้ในปี 2014 เมื่อความเป็นปรปักษ์กันปะทุขึ้นมาหนแรกในภูมิภาคดอนบาสส์ ภายหลังเกิดการรัฐประหารยึดอำนาจที่หนุนหลังโดยฝ่ายตะวันตกขึ้นในกรุงเคียฟ นับแต่นั้นมา อัฟดิอิฟกาถูกใช้อยู่บ่อยครั้งให้เป็นพื้นที่เปิดการโจมตีใส่เมืองโดเนตสก์ โดยหลายๆ ครั้งพุ่งเป้ามุ่งเล่นงานพลเรือน ทั้งนี้สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์ เช่นเดียวกับดินแดนในอดีตของยูเครนแห่งอื่นๆ
อีก 3 แคว้น ได้ออกเสียงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแล้วในปี 2022

(ดูต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่
https://www.rt.com/russia/593070-russian-defense-chief-avdeevka-inspection/)
กำลังโหลดความคิดเห็น