รัฐบาลรัสเซียออกมาเตือนชาติตะวันตกวานนี้ (5 ก.พ.) ว่าอย่าได้คิดเอาทรัพย์สินของรัสเซียซึ่งถูกอายัดอยู่ในต่างประเทศไปเป็นหลักประกัน (collateral) ระดมเงินทุนช่วยเหลืออยู่เครน เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และจะนำมาซึ่งการฟ้องร้องยืดเยื้อไปอีกหลายปีแน่นอน
หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สรายงานเมื่อวันเสาร์ (3) ว่า กลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 ได้ร่างแผนการที่จะนำเอาทรัพย์สินของรัสเซียไปเป็นหลักประกันตราสารหนี้ที่ออกเพื่อช่วยเหลือยูเครน ซึ่งเรื่องนี้สำนักข่าวบลูมเบิร์กก็รายงานตรงกัน
“เรายังไม่ทราบว่าข้อมูลที่เผยแพร่ออกมานั้นจริงเท็จประการใด มีแผนการเช่นนี้อยู่จริงหรือไม่ จำเป็นที่จะต้องรอให้มีคำแถลงอย่างเป็นทางการออกมาเสียก่อน” ดมิตรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลินให้สัมภาษณ์
หลังจากประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ออกคำสั่งส่งทหารบุกดินแดนยูเครนเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2022 สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรก็ตอบโต้โดยการปิดกั้นธุรกรรมการเงินกับธนาคารกลางและกระทรวงการคลังของแดนหมีขาว อีกทั้งยังอายัดทรัพย์สินของรัสเซียมูลค่าราว 300,000 ล้านดอลลาร์ที่อยู่ในต่างประเทศด้วย
ธนาคารกลางรัสเซียไม่ได้แจกแจงว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้างที่โดนอายัดอยู่ แต่จากเอกสารเมื่อช่วงต้นปี 2022 ทำให้พอจะสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ธนาคารกลางรัสเซียถือครองสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินยูโรประมาณ 207,000 ล้านดอลลาร์ เงินดอลลาร์สหรัฐ 67,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 37,000 ล้านดอลลาร์ในสกุลเงินปอนด์
นอกจากนี้ 3 สกุลเงินหลักดังกล่าวแล้ว ธนาคารกลางรัสเซียยังมีสินทรัพย์ในสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ เงินเยน 36,000 ล้านดอลลาร์ ดอลลาร์แคนาดา 19,000 ล้านดอลลาร์ ดอลลาร์ออสเตรเลีย 6,000 ล้านดอลลาร์ ดอลลาร์สิงคโปร์ 1,800 ล้านดอลลาร์ และเงินฟรังก์สวิสอีกราวๆ 1,000 ล้านดอลลาร์
มอสโกเคยประกาศเตือนไว้แล้วว่า หากทรัพย์สินของตนถูกยึดก็จะทำการยึดทรัพย์สินของสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของตะวันตกบางคนกังวลว่า การยึดทรัพย์สินที่รัสเซียเข้าไปลงทุนในรูปพันธบัตรเงินยูโร ดอลลาร์สหรัฐ และปอนด์อังกฤษ อาจจะทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เกิดความไม่ไว้วางใจที่จะฝากทรัพย์สินแก่กันและกัน
เปสคอฟ ระบุว่า รัสเซียจะดำเนินการฟ้องร้องและต่อสู้ทางกฎหมายอย่างยิดเยื้อไปอีกหลายปีแน่นอน หากมีการยึดทรัพย์สินเกิดขึ้น
“แน่นอนว่าสหพันธรัฐรัสเซียจะคัดค้านการตัดสินใจดังกล่าว เราจะปกป้องผลประโยชน์และทรัพย์สินทุกอย่างที่ถูกยึดไปอย่างไม่ถูกต้อง” เขากล่าว
“การรุกล้ำทรัพย์สินของผู้อื่นถือเป็นการบั่นทอนรากฐานทั้งหมดของระบบเศรษฐกิจ รวมถึงระบบเศรษฐกิจของผู้ที่ตัดสินใจทำเช่นนั้นด้วย เราเชื่อว่าผู้ที่มีส่วนในการตัดสินใจคงจะทราบดีถึงผลลัพธ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง และเราจะจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด”
ที่มา : รอยเตอร์