ราคาน้ำมันขยับลงในวันพุธ (31 ม.ค.) จากแรงกดดันกิจกรรมเศรษฐกิจหดตัวในจีน ชาติผู้บริโภครายใหญ่ ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ย แต่ส่งสัญญาณยังไม่มีแผนลดดอกเบี้ย ขณะที่ทองคำปรับขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมีนาคม ลดลง 1.97 ดอลลาร์ ปิดที่ 75.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมีนาคม ลดลง 1.16 ดอลลาร์ ปิดที่ 81.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
กิจกรรมการผลิตในจีน ชาติเศรษฐกิจหมายเลข 2 ของโลก หดตัวเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันในเดือนมกราคม ก่อความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์อ่อนแอในชาติผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่แห่งนี้
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานแห่งสหรัฐฯ ที่เผยให้เห็นว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่พวกนักวิเคราะห์คาดหมายไว้ว่าจะลดลง 217,000 บาร์เรล
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบในวันพุธ (31 ม.ค.) เฟดคงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เน้นย้ำว่าแม้มีความคืบหน้าด้านเงินเฟ้อ แต่ความเสี่ยงต่างๆ ยังคงมีอยู่ ดังนั้นจึงยังไม่มีแผนปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้
ดาวโจนส์ ลดลง 317.01 จุด (0.82 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 38,150.30 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 79.32 จุด (1.61 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,845.65 จุด แนสแดค ลดลง 345.89 จุด (2.23 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,164.01 จุด
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 22 ปี จากเงินเฟ้อที่เบาบางลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเศรษฐกิจมีความยืดหยุ่น
ในถ้อยแถลงของ FOMC ระบุว่าพวกเขา "ไม่คาดหมายว่าจะมีความเหมาะสมในการปรับลดดอกเบี้ย จนกว่าจะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อจะเคลื่อนสู่ระดับเป้าหมายที่ยั่งยืน 2%"
"ในการพิจารณาการปรับช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น คณะกรรมการ FOMC จะทำการประเมินข้อมูลที่ได้รับอย่างระมัดระวัง รวมทั้งแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างความสมดุลต่อความเสี่ยง" ถ้อยแถลงระบุ
เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดระบุในเวลาต่อมาว่า FOMC จะมั่นใจว่าจะถึงเวลาเหมาะสมสำหรับปรับลดเดเบี้ยก็ต่อเมื่อเงินเฟ้ออ่อนตัวลงอย่างยั่งยืน
ด้านราคาทองคำในวันพุธ (31 ม.ค.) ซึ่งปิดตลาดก่อนเฟดออกคำแถลง ปิดบวก โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 16.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 2,067.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์)