ผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ออกมาเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ เพื่อบัญญัติสถานะเกาหลีใต้เป็น “ศัตรูตัวสำคัญที่สุด” และอนุญาตให้เกาหลีเหนือเข้ายึดครอง พร้อมย้ำว่าไม่มีทางรวมชาติกันได้อีกต่อไป นอกจากนั้น ยังคุยว่าเปียงยางไม่คิดหลีกเลี่ยงสงครามแต่พร้อมเข้าสู้ศึกหากดินแดนของตนถูกรุกล้ำแม้เพียง 0.001 มิลลิเมตร
สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเปียงยางรายงานเมื่อวันอังคาร (16 ม.ค.) โดยอ้างอิงการกล่าวปราศรัยของคิม ต่อสภาผู้แทนประชาชนสูงสุด หรือก็คือรัฐสภาของเกาหลีเหนือ ซึ่งผู้นำโสมแดงสรุปว่า การรวมชาติกับเกาหลีใต้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และกล่าวหาโซลว่าพยายามล้มล้างเกาหลีเหนือ ตลอดจนคิดรวมชาติด้วยวิธีการกลืนกินโสมแดง
คิมสำทับว่า เปียงยางจะไม่ยอมรับเส้นแบ่งพรมแดนทางทะเลโดยพฤตินัยระหว่างสองประเทศ ที่เรียกกันว่าเส้น “Northern Limit Line” พร้อมเรียกร้องให้รัฐสภาเกาหลีเหนือแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนว่า เกาหลีใต้เป็น “ศัตรูสำคัญที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” รวมทั้งเปิดทางให้เกาหลีเหนือเข้ายึดครองเกาหลีใต้หากเกิดสงครามขึ้นมา
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญของทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่า คาบสมุทรเกาหลีทั้งหมดเป็นดินแดนของตน
ประมุขโสมแดงย้ำว่า เกาหลีเหนือไม่ต้องการแต่ไม่คิดหลีกเลี่ยงสงคราม และยังบอกอีกว่า เกาหลีเหนือควรวางแผนเข้ายึดครอง พิชิต และทวงคืนดินแดนจากเกาหลีใต้อย่างสมบูรณ์หากเกิดสงคราม และสำทับว่า หากเกาหลีใต้ละเมิดดินแดนเกาหลีเหนือทั้งภาคพื้นดิน อากาศ และน่านน้ำแม้เพียง 0.001 มม. จะถือเป็นการยั่วยุให้เกิดสงคราม
คิมยังเรียกร้องให้ตัดการสื่อสารกับเกาหลีใต้ทั้งหมด และทำลายอนุสาวรีย์การรวมชาติในเปียงยาง
เคซีเอ็นเอเสริมว่า จะมีการยุบองค์กร 3 แห่งที่รับผิดชอบการรวมชาติและการท่องเที่ยวระหว่างสองเกาหลี
ด้านประธานาธิบดียุน ซอกยอล ของเกาหลีใต้ ประกาศระหว่างการประชุมรัฐมนตรีว่า ถ้าเกาหลีเหนือยั่วยุ เกาหลีใต้จะตอบโต้รุนแรงกว่าหลายเท่าโดยอ้างอิงศักยภาพในการตอบโต้ที่ล้นเหลือของกองทัพเกาหลีใต้
การเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญของคิมเกิดขึ้นขณะที่สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีเลวร้ายลง ท่ามกลางการระดมทดสอบขีปนาวุธและการผลักดันของเปียงยางให้ยุตินโยบายการรวมชาติที่ดำเนินมาหลายทศวรรษ
ลิม อึลชุล ศาสตราจารย์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเกาหลีเหนือจากมหาวิทยาลัยคยองนัม ในเกาหลีใต้ มองว่า การที่คิมปราศรัยโดยพูดถึงแผนการปรับปรุงคุณภาพชีวิตประชาชน รวมทั้งพาดพิงถึงเกาหลีใต้และอเมริกานั้นมีเป้าหมายในการกระตุ้นความเป็นเอกภาพภายในเกาหลีเหนือ รวมทั้งมุ่งที่จะบรรลุเป้าหมายเศรษฐกิจและการทหาร ขณะที่อเมริกาหันเหความสนใจไปที่วิกฤตอื่นๆ
ทว่า ในทางกลับกัน วอน กอนพัค จากมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาในโซล แย้งว่า การใช้ถ้อยคำอย่างก้าวร้าวคราวนี้บ่งชี้ว่า คิมอาจรู้สึกว่า ตนเองกำลังถูกคุกคามจากการเสริมระบบนิวเคลียร์เพื่อป้องปรามของเกาหลีใต้และอเมริกา รวมทั้งการประจำการสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ บนคาบสมุทรเกาหลี และความร่วมมือทางทหารสามฝ่ายกับญี่ปุ่น
ก่อนหน้านี้ ในการประชุมนโยบายก่อนสิ้นปีที่ผ่านมา คิมก็ได้ขู่โจมตีเกาหลีใต้ด้วยนิวเคลียร์และเรียกร้องให้เกาหลีเหนือสะสมหัวรบก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งทางทหารซึ่ง “อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ม.ค.) เกาหลีเหนือยังทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง หลังจากไม่กี่วันก่อนหน้านั้นเปียงยางเพิ่งจัดซ้อมรบโดยใช้กระสุนจริงใกล้พรมแดนทางทะเลที่แบ่งแยกสองเกาหลี ส่งผลให้โซลตอบโต้ด้วยการซ้อมรบและอพยพประชาชนจากเกาะชายแดนบางแห่ง
ปลายปีที่แล้ว คิมยังประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมสอดแนมขึ้นสู่วงโคจร หลังได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซียเพื่อแลกกับการจัดส่งอาวุธให้มอสโกทำสงครามในยูเครน
เมื่อเร็วๆ นี้รัสเซียและเกาหลีเหนือที่เป็นพันธมิตรกันมายาวนานได้กระชับความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยคิมเดินทางไปพบประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินทางด้านตะวันออกสุดของรัสเซียเมื่อเดือนกันยายน
นอกจากนั้น ในวันจันทร์ (15 ม.ค.) คณะผู้แทนของรัฐบาลเกาหลีเหนือที่นำโดยโช ซอนฮุย รัฐมนตรีต่างประเทศ เดินทางถึงมอสโกเพื่อเริ่มต้นการเยือนอย่างเป็นทางการ
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)