xs
xsm
sm
md
lg

จีนเปิดฉากแซงก์ชันลงโทษ ‘ล็อกฮีดมาร์ติน’ โทษฐานขายอาวุธให้แก่ไต้หวัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เจฟฟ์ เปา ***



(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

China opens fire on Lockheed for arming up Taiwan
By JEFF PAO
20/12/2023

ปักกิ่งประกาศใช้มาตรการแซงก์ชันอีกรอบหนึ่งเพื่อลงโทษ ล็อกฮีด มาร์ติน บริษัทรับเจ้ารับจ้างด้านกลาโหมรายยักษ์ของสหรัฐฯ หลังจากที่วอชิงตันประกาศขายอาวุธรอบใหม่มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ให้แก่ไต้หวัน

จีนประกาศลั่นจะลงโทษแซงก์ชัน ล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) บริษัทรับเหมารับจ้างทำงานด้านกลาโหมรายใหญ่ที่สุดของอเมริกาและของโลก เป็นรอบที่ 5 หลังจากวอชิงตันอนุมัติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ในข้อตกลงขายอาวุธของ ล็อกฮีด เป็นมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่ไทเป ซึ่งจะทำให้ระบบข้อมูลข่าวสารทางยุทธวิธี (tactical information system) ของไต้หวันสามารถเชื่อมโยงกับระบบของเหล่าชาติพันธมิตรนาโตได้

ระบบใหม่ที่ไต้หวันจัดซื้อนี้ จะช่วยปรับปรุงยกระดับสมรรถนะทางด้านการบังคับบัญชา (command) การควบคุม (control) การสื่อสาร (communications) และคอมพิวเตอร์ (computer) (นิยมเรียกขานรวมกันว่า C4) ของไต้หวัน รวมทั้งเพิ่มพูนความพรักพร้อมของไต้หวันในการปฏิบัติการเพื่อรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ทั้งนี้ ตามคำแถลงของสำนักงานความร่วมมือด้านความมั่นคงกลาโหม (Defense Security Cooperation Agency) ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน)

การขายอาวุธครั้งนี้ของสหรัฐฯ เป็นการขายครั้งที่ 12 ให้แก่ไต้หวันแล้ว นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขึ้นครองอำนาจในทำเนียบขาวเมื่อเดือนมกราคม 2021

ปักกิ่งได้ประกาศใช้มาตรการตอบโต้เล่นงาน ล็อกฮีด มา 4 รอบ [1] แล้วนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2020 เป็นต้นมา โดยมีทั้งการใส่ชื่อบริษัทแห่งนี้เข้าไปใน “บัญชีรายชื่อกิจการและบุคลากรที่เชื่อถือไม่ได้” (unreliable entities list) การออกคำสั่งให้บริษัทกิจการด้านกลาโหมรายนี้ต้องจ่ายเงินค่าปรับเท่ากับสองเท่าตัวของยอดขายอาวุธที่ขายให้แก่ไต้หวันในช่วงปีหลังๆ มานี้ และการสั่งห้ามไม่ให้พวกผู้บริหารและพนักงานของบริษัทนี้เดินทางเข้าประเทศจีน

ภายหลังรัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติให้ ล็อกฮีด และบริษัทนอร์ทธรอป กรัมแมน (Northrop Grumman) ขายอาวุธแก่ไต้หวันเมื่อวันที่ 24 สิงหาคมปีนี้แล้ว ทั้งสองบริษัทก็ถูกปักกิ่งแซงก์ชันในวันที่ 15 กันยายน ถึงแม้รัฐบาลจีนไม่ได้ระบุชัดเจนในตอนนั้นว่าจะลงโทษอะไรกันบ้าง

“เป็นความจริงที่ทั้ง ล็อกฮีด และนอร์ทธรอป กรัมแมน ต่างไม่ได้มีธุรกิจโดยตรงในประเทศจีนมากมายอะไร แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าการแซงก์ชันของพวกเราต่อพวกเขาเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย” นักเขียนซึ่งตั้งฐานอยู่ที่มณฑลส่านซีรายหนึ่งและใช้นามปากกว่า “เฉียวเฟิง” (Qiaofeng) แสดงความเห็น [2] เอาไว้ในข้อเขียนชิ้นหนึ่ง “พวกบริษัทในเครือของพวกเขามีความเกี่ยวข้องพัวพันอยู่ในหลายๆ สาขา เป็นต้นว่าอากาศยาน พลังงาน และอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศจีน”

นักเขียนผู้นี้บอกว่า การลงโทษเช่นนี้เป็นการส่งข้อความไปถึงประชาคมระหว่างประเทศว่า จีนคัดค้านการเข้ามาแทรกแซงของต่างชาติในทุกๆ รูปแบบ และมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน

เขากล่าวว่า ด้วยการแซงก์ชันลงโทษพวกบริษัทผู้รับเหมารับจ้างด้านกลาโหมของสหรัฐฯ จีนก็สามารถสร้างตัวอย่างขึ้นมาสำหรับส่งเสริมค้ำจุนความเป็นธรรมและความยุติธรรมระหว่างประเทศ ท่ามกลางการละเมิดระเบียบกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้งของสหรัฐฯ


การปฏิบัติการทางทหาร

ตามคำแถลงของกระทรวงกลาโหมในไทเประบุว่า พบเห็นบอลลูนตรวจอากาศของจีน 2 ลูก ขณะกำลังข้ามเส้นกึ่งกลางของช่องแคบไต้หวันเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม หรือเพียงวันสองวันหลังจากสหรัฐฯ ประกาศการขายอาวุธให้ไต้หวันดังกล่าวข้างต้น

“พวกจีนคอมมิวนิสต์มีการปฏิบัติการทางทหารรอบๆ ไต้หวันบ่อยมาก นี่ถือเป็นภัยคุกคามต่อเราอย่างสาหัสร้ายแรง” คำแถลง [3] ของกระทรวงแห่งนี้ระบุ

กระทรวงกลาโหมในไทเปกล่าวด้วยว่า ระบบข้อมูลข่าวสารทางยุทธวิธีระบบใหม่ที่ไต้หวันจะซื้อจากล็อกฮีด จะช่วยให้ไต้หวันสามารถปรับปรุงยกระดับความรับรู้ตื่นตัวในพื้นที่สมรภูมิของตน พร้อมกับแสดงความคาดหมายว่าการขายจะ “มีผล” ภายในระยะเวลา 1 เดือน

ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์อ้างอิงแหล่งข่าวรายหนึ่ง [4] ที่กล่าวว่า ระบบ C4 สิว์น อัน (Syun An) ที่ไต้หวันมีอยู่ในปัจจุบัน โดยได้ใช้งานกันมากว่า 1 ทศวรรษแล้วนั้น ไม่สามารถที่จะอินเตอร์เฟซได้อย่างสะดวกคล่องตัวกับพวกอุปกรณ์ที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ เป็นต้นว่าเครื่องบินขับไล่ไอพ่นที่ไต้หวันผลิตขึ้นเองในท้องถิ่น แหล่งข่าวรายนี้ชี้ว่า จุดอ่อนเช่นนี้จึงทำให้สมรรถนะด้านระบบ C4 ของไต้หวันในการร่วมมือเพื่อดำเนินการสงคราม ยังอยู่ในระดับที่ไม่ดีพอ

ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่าระบบสิว์น อัน ไม่สามารถที่จะบูรณาการข้อมูลซึ่งมาจากระบบเรดาร์เตือนภัยล่วงหน้าระยะทำการไกล ซึ่งตั้งอยู่ในแถบภูเขาทางตอนเหนือของเกาะไต้หวัน

นอกจากนั้น เครือข่ายข้อมูลทางยุทธวิธี ลิงก์ 16 ที่ลดเกรดลงมา (downgraded Link 16 tactical data network) ของระบบนี้ก็ไม่สามารถเข้ากันได้กับพวกเครื่องมืออุปกรณ์ที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ เป็นต้นว่า เครื่องบินขับไล่ที่ผลิตขึ้นเองในท้องถิ่นของไต้หวัน (Taiwan’s Indigenous Defense Fighters) เรือฟริเกตชั้นลา ฟาแยตต์ (La Fayette-class frigates) ที่ทำในฝรั่งเศส และเครื่องบินขับไล่ มิราจ 2000 (Mirage 2000) ซึ่งผลิตจากฝรั่งเศสเช่นกัน ทั้งนี้ ลิงก์ 16 เป็นเครือข่ายเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีด้านการทหารที่มีการกำหนดจัดวางมาตรฐานเอาไว้ และสหรัฐฯตลอดจนชาติพันธมิตรนาโตอื่นๆ ใช้งานกันอยู่
(เครื่องบินขับไล่ที่ผลิตขึ้นเองในท้องถิ่นของไต้หวัน คือเครื่องบินสู้รบอเนกประสงค์แบบ เอไอดีซี เอฟ-ซีเค-1 จิง-กั๋ว AIDC F-CK-1 Ching-Kuo ซึ่งนิยมเรียกขานกันว่า เครื่องบินขับไล่ Indigenous Defense Fighters หรือ IDF ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/AIDC_F-CK-1_Ching-kuo -ผู้แปล)

สำหรับหวัง เหวินปิน (Wang Wenbin) โฆษกผู้หนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศจีน [5] แถลง ว่า “จีนจะใช้มาตรการต่างๆ ที่เด็ดเดี่ยวและแข็งแกร่งเพื่อปกปักรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน และใช้มาตรการตอบโต้ต่างๆ กับพวกบริษัทซึ่งเกี่ยวข้องพัวพันกับการขายอาวุธให้ไต้หวัน”

“คำถามว่าด้วยไต้หวัน คือกิจการภายในของจีนโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่พึงประสงค์ที่จะได้รับความกระทบกระเทือนจากการแทรกแซงใดๆ ของต่างชาติ” เขากล่าวย้ำ และบอกอีกว่า “ไม่ว่าสหรัฐฯ จะจัดหาอาวุธให้แก่แคว้นไต้หวันมากมายเพียงใด มันก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ของการกลับมารวมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศจีน ตลอดไม่สามารถสั่นคลอนเจตนารมณ์อันหนักแน่นมั่นคงของประชาชนจีนในการปกปักรักษาอธิปไตยแห่งชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนของเรา”

เขาย้ำว่า การที่สหรัฐฯ ขายอาวุธให้แก่ไต้หวันในระยะหลังๆ มานี้ คือการบ่อนทำลายอธิปไตยและผลประโยชน์ทางด้านความมั่นคงปลอดภัยของจีนอย่างร้ายแรง เป็นอันตรายต่อสันติภาพและเสถียรภาพในบริเวณช่องแคบไต้หวัน และเป็นการส่งข้อความอย่างผิดๆ ไปถึงพวกกลุ่มพลังนักแบ่งแยกดินแดนที่กำลังมุ่งเสวงหา “ความเป็นเอกราชของไต้หวัน”

“จีนตำหนิและคัดค้านอย่างแรงกล้าในเรื่องนี้ และได้ยื่นหนังสือประท้วงอย่างเคร่งครัดจริงจังถึงฝ่ายสหรัฐฯ แล้ว” หวัง บอก

การสกัดกั้นเครื่องบินขับไล่ ‘อย่างเป็นภัยอันตราย’

เหตุการณ์บอลลูนจีนข้ามช่องแคบไต้หวัน บังเกิดขึ้นมาราวๆ 1 เดือนหลังจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พบหารือกันในนครซานฟรานซิสโกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน และตกลงเห็นพ้องกันที่จะให้มีการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น

ผู้นำทั้งสองได้แลกเปลี่ยนทัศนะกันแบบลงลึกในประเด็นปัญหาต่างๆ ทางยุทธศาสตร์และทรงความสำคัญ ซึ่งมีความหมายอย่างยิ่งยวดต่อทิศทางของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับประเด็นปัญหาใหญ่ๆ ที่กำลังส่งผลกระทบกระเทือนสันติภาพของโลกและการพัฒนา ทว่าผู้นำทั้งสองไม่ได้มีการทำความตกลงใหม่ใดๆ ในประเด็นปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับไต้หวัน ทั้งนี้ตามรายงานข่าวต่างๆ ที่ปรากฏออกมา

ไบเดนย้ำ [6] ว่า นโยบายว่าด้วย “จีนเดียว” ของวอชิงตันยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งเน้นว่าสหรัฐฯ คัดค้านการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมตามอำเภอใจฝ่ายเดียวใดๆ ก็ตามไม่ว่าจะมาจากฝั่งไหนของช่องแคบไต้หวัน

ขณะที่มีรายงานว่า สี ได้บอกให้สหรัฐฯ ยุติการสนับสนุนความเป็นเอกราชของไต้หวัน รวมทั้งระงับการขายอาวุธให้แก่เกาะปกครองตนเองแห่งนี้ ซึ่งปักกิ่งถือเสมอมาว่าเป็นมณฑลกบฏที่จะต้องนำมารวมเข้า “เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” กับแผ่นดินใหญ่ แต่ฝ่ายสหรัฐฯ บอกว่าตนจะยังคงสนับสนุนการป้องกันของไต้หวันต่อไป

พล.ร.อ.จอห์น อะกีลิโน (Admiral John Aquilino) ผู้บัญชาการของกองบัญชาการทหารภาคอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (US Indo-Pacific Command) บอกกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมว่า พฤติการณ์ที่เครื่องบินขับไล่ของจีนเข้าสกัดขัดขวางเครื่องบินสหรัฐฯ “อย่างเป็นภัยอันตราย” ดูเหมือนจะยุติลงนับตั้งแต่การประชุมซัมมิตระหว่างสีกับไบเดนคราวล่าสุด ซึ่งเขาบอกว่า ถือเป็น “ผลลัพธ์ในทางบวกอย่างเหลือเชื่อ” ถ้าหากสามารถรักษาเอาไว้ได้ในระยะยาว

อย่างไรก็ดี ทางด้านกองทัพปลดแอกประชาชนจีนยังคงส่งเครื่องบินรบข้ามเส้นกึ่งกลางของช่องแคบไต้หวันอยู่ทุกวันเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง

เชิงอรรถ
[1] https://baijiahao.baidu.com/s?id=1777278296163237148&wfr=spider&for=pc
[2] https://baijiahao.baidu.com/s?id=1777189111961379820&wfr=spider&for=pc
[3]https://en.mofa.gov.tw/News_Content.aspx?n=1328&sms=273&s=116189
[4]https://www.taipeitimes.com/News/front/archives/2023/12/17/2003810735
[5]https://www.fmprc.gov.cn/eng/xwfw_665399/s2510_665401/2511_665403/202312/t20231218_11206340.html
[6] https://www.whitehouse.gov/briefing-room/statements-releases/2023/11/15/readout-of-president-joe-bidens-meeting-with-president-xi-jinping-of-the-peoples-republic-of-china-2/
กำลังโหลดความคิดเห็น