คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือเตือนว่าเปียงยางจะไม่ลังเลเปิดฉากโจมตีทางนิวเคลียร์ หากพวกเขาถูกยั่วยุโดยนิวเคลียร์ สื่อมวลชนแห่งรัฐรายงานในวันพฤหัสบดี (21 ธ.ค.) คำขู่ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่เกาหลีใต้และพันธมิตรเรียกร้องเจรจาคลี่คลายความตึงเครียด โดยปราศจากการวางข้อแม้ล่วงหน้าใดๆ
ความเห็นล่าสุดของคิม มีขึ้นตามหลังการพบปะพูดคุยกันระหว่างเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทั้ง 2 ชาติได้หารือกันเกี่ยวกัยแนวทางป้องปรามทางนิวเคลียร์ ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือ
วาระการประชุมดังกล่าว รวมไปถึง "การวางแผนทางนิวเคลียร์และยุทธศาสตร์" ซึ่งทั้ง 2 ชาติพันธมิตรต่างเน้นย้ำว่าการโจมตีทางนิวเคลียร์ใดๆ เล่นงานสหรัฐฯ และเกาหลีใต้โดยเปียงยาง จะก่อผลลัพธ์คือจุดจบของระบอบปกครองของเกาหลีเหนือ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน คิม จะไม่หวั่นเกรงใดๆ ต่อคำเตือนดังกล่าว โดยได้บอกกับหน่วยงานขีปนาวุธของกองทัพเหาหลีเหนือ ว่า "อย่าได้ลังเล แม้กระทั่งการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ หากศัตรูยั่วยุเราด้วยนุก" ตามรายงานของสำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (เคซีเอ็นเอ) ในวันพฤหัสบดี (21 ธ.ค.)
วอชิงตัน โซล และโตเกียวเผยแพร่ถ้อยแถลงไม่นานหลังจากนั้น เรียกร้องให้ประเทศติดอาวุธนิวเคลียร์แห่งนี้ "หยุดทำการใดๆ ที่เป็นการยั่วยุเพิ่มเติม และตอบรับเสียงเรียกร้องของเขา สำหรับประสานงานทางการทูตอย่างเป็นรูปธรรมโดยปราศจากการวางเงื่อนไขล่วงหน้าใดๆ"
ทั้ง 3 ประเทศได้ยกระดับความร่วมมือด้านกลาโหมในยามที่ต้องเผชิญกับท่าทีก้าวร้าวของเกาหลีเหนือ ที่ได้ทำการทดสอบอาวุธมากครั้งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในปีนี้ และในวันอังคาร (19 ธ.ค.) ได้เปิดใช้งานระบบแชร์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ในด้านการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือในวันจันทร์ (18 ธ.ค.) ได้ทำการยิงขีปนาวุธทรงพลานุภาพสุดของเขา ฮวาซอง-18 ก่อนให้คำจำกัดความในเวลาต่อมา ว่าเป็นมาตรการเตือนตอบโต้ต่อสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นพฤติกรรมข่มขู่ทางทหารอย่างไม่ลดละ โดยพวกวอชิงตันและพันธมิตร
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำหนึ่งของสหรัฐฯ เดินทางถึงท่าเรือปูซานของเกาหลีใต้ และในวันพุธ (20 ธ.ค.) วอชิงตัน ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดพิสัย ร่วมบินในการซ้อมรบร่วมกับโซลและโตเกียว
ไม่นานที่ผ่านมา เกาหลีเหนือเน้นย้ำว่า คาบสมุทรเกาหลีอยู่ในภาวะสงครามตามกฎหมาย และทรัพสินทางยุทธศาสตร์ใดๆ ที่วอชิงตันส่งเข้าประจำการในเกาหลีใต้ จะเป็นเป้าหมายแรกๆ แห่งการทำลายล้าง
(ที่มา : เอเอฟพี)