xs
xsm
sm
md
lg

PLANET #3: จะจนตรอกกลับวัง?: ‘แฮร์รี-เมแกน’ ติดอับดับ “เจ๊งรายใหญ่สุด” ในหมู่ซุปตาร์ฮอลลีวูด หลังถูกสปอติฟายเท หนังสือ&ซีรีส์ก็ถูกเย้ยยับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เจ้าชายแฮร์รีและดัชเชสเมแกนแห่งซัสเซกซ์ทรงถูกแปะตราเป็น “คู่เจ๊งรายใหญ่สุด” ในบรรดาซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวูดทั้งปวงในการจัดอันดับของเดอะฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ สื่อบันเทิงผู้ทรงอิทธิพลเก่าแก่ในวงการภาพยนตร์และดนตรี ช็อตต่อไปของทั้งสองพระองค์น่าจะเป็นเรื่องว่า จะเสด็จกลับวังที่อังกฤษ หรือจะไปต่อในยูเอสเอ
เจ้าชายแฮร์รีและดัชเชสเมแกนทรงถูกแปะตราว่าเป็น คู่เจ๊งรายใหญ่สุดประจำปี 2023 เมื่อเทียบกับบรรดาซูเปอร์สตาร์ดาวจรัสฟ้าทั้งปวงของฮอลลีวูด ตามการจัดอันดับความสำเร็จและความล้มเหลวของ เดอะฮอลลีวูด รีพอร์เตอร์ สื่อบันเทิงอเมริกันค่ายยักษ์ผู้ทรงอิทธิพลสุดๆ ซึ่งสื่อเมืองผู้ดีบอกว่าเป็นที่ซูฮกของฝ่ายต่างๆ ในวงการ แบบว่าระดับตำนานไบเบิลแห่งฮอลลีวูดกันทีเดียว พร้อมนี้สื่อเจ้าพ่ออังกฤษ ดิอินดีเพ็นเดนต์ ระบุว่าอดีตพระราชวงศ์คู่นี้ทรงเต็มไปด้วยเรื่องโกลาหลเสียชื่อเป็นจำนวนมากซึ่งวนๆ ไปตั้งแต่หัวปียันท้ายปี

การจัดอันดับประจำปี 2023 โดยเดอะฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ เน้นว่าคู่ดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ประสบความล้มเหลวอย่างมโหฬารยิ่งกว่าใคร หลังดีลธุรกิจพอดแคสต์ที่มีอยู่กับค่ายสปอติฟาย ถูกยกเลิกเมื่อมิถุนายนที่ผ่านมา นอกจากนั้น ยังเสื่อมเสียหนักหนาด้วยแรงขยี้ดุเดือดจากรายการการ์ตูนโทรทัศน์ South Park ซึ่งล้อเลียนเสียดสีแรงเหลือเกิน

ในด้านผลผลิตในปี 2023 ดยุกและดัชเชสถูกวิพากษ์ตั้งแต่โปรเจ็กต์แรกเลย คือ หนังสือบันทึกความทรงจำเรื่อง SPARE ของเจ้าชายแฮร์รี ซึ่งพระองค์อวดโม้เกี่ยวกับการสังหารผู้ก่อการร้ายตอลิบานมากมาย อีกทั้งพรรณนาถึงความสัมพันธ์ร้าวฉานที่ทรงฟูมฟายว่าถูกพระราชวงศ์อังกฤษรังแก

ทั้งนี้ ขณะที่ไม่มีตัวเลขรายรับจาก SPARE ว่าจะเหลือเข้าสู่กำปั่นมอนเตซิโตของครอบครัวซัสเซกซ์สักกี่มากน้อย (เพราะมีการโหมซูเปอร์โปรโมชัน ลด 50% ก่อนหนังสือวางแผง และเมื่อวางแผงแล้ว หลายๆ ร้านใหญ่ทำรายการลดเลือดสาด 30-50% กันเลยทีเดียว) แต่หนังสือ SPARE ถูกคว่ำคะมำด้วยการแปะยี่ห้อให้เป็น “หนังสือขี้แยคร่ำครวญ” ดิอินดีเพ็นเดนต์รายงาน

ด้านเดลิเมลออนไลน์รายงานถึงความล้มเหลวของผลงานสำคัญอีกรายการหนึ่งของดยุกและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ คือ ซีรีส์สารคดีเน็ตฟลิกซ์ 6 เอพพิโซด เรื่อง แฮร์รีและเมแกน ว่าไม่สามารถแม้แต่จะติดอันดับ 200 เรื่องที่ถูกสตรีมมากที่สุดบนเน็ตฟลิกซ์ โดยทำอันดับได้แค่ที่ 211 เท่านั้น ทั้งนี้ แน่นอนว่าซีรีส์สารคดีชุดนี้ก็ถูกแปะยี่ห้อให้เป็น “ซีรีส์ขี้แยคร่ำครวญ”

“ยี่ห้อแฮร์รีกับเมแกนโป่งล้นขึ้นมาเป็นฟองสบู่ของคนปากว่าตาขยิบ พูดหลักการอย่างสง่าแต่ตนเองกลับทำตรงกันข้าม แค่จะรอใครมาจิ้มฟองสบู่ให้แตกโพละ” ดิอินดีเพ็นเดนต์คัดเนื้อหารายงานของเดอะฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ มานำเสนออย่างนั้น พร้อมระบุว่าการ์ตูนโทรทัศน์แนวตลกร้ายชื่อเรื่องว่า South Park คือเข็มแหลมที่จิ้มฟองสบู่คนปากว่าตาขยิบให้แตกโพละ

ดิอินดีเพ็นเดนต์รายงานว่า South Park เป็นจุดหักเหสำคัญที่ตอกย้ำให้ท่านผู้ชมตระหนักว่าปรินซ์แฮร์รีกับดัชเชสเมแกนเต็มไปด้วยถ้อยคำและการกระทำที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ แม้การ์ตูนมิได้ระบุพระนามของทั้งสองแม้สักครั้งเดียว แต่ท่านผู้ชมต่างเข้าใจได้ว่ามุกเยาะเย้ยเสียดสีบาดใจทั้งปวง ล้วนหมายถึงปรินซ์และดัชเชสนั่นเอง โดยใช้ตัวการ์ตูนเจ้าชายผมแดงกับพระชายาผู้ซึ่งอยู่ในเสื้อผ้าเหมือนเปี๊ยบกับชุดของดัชเชสเมแกน ทำการเดินสายโปรโมทหนังสือเรื่อง “Waaaagh” ซึ่งอ่านว่า วา ซึ่งเล่าเรื่องส่วนตัวว่าเสียพรหมจรรย์เมื่อใดอย่างไร หลังจากที่โวยไว้มหาศาลว่า ถูกสื่อมวลชนละเมิดความเป็นส่วนตัว

ช็อตหนึ่งในหนังการ์ตูนโทรทัศน์ตลกร้ายเรื่อง South Park ที่รายการ Chris Kenny Tonight ของค่ายสกายนิวส์ออสเตรเลีย นำไปประกอบข่าวว่าปรินซ์แฮร์รีกับพระชายาเมแกนทรงถูก South Park เผาสนุก ด้านดิอินดีเพ็นเดนท์ สื่อใหญ่แดนผู้ดี ชี้ว่าการ์ตูนชุดนี้เป็นจุดหักเหสำคัญที่ตอกย้ำให้ท่านผู้ชมตระหนักว่าปรินซ์แฮร์รีกับดัชเชสเมแกนเต็มไปด้วยถ้อยคำและการกระทำที่ไม่น่าเชื่อถือ ทั้งนี้ แม้การ์ตูนมิได้ระบุพระนามของทั้งสองแม้สักครั้งเดียว แต่ท่านผู้ชมต่างเข้าใจได้ว่ามุกเยาะเย้ยเสียดสีบาดใจทั้งปวง ล้วนหมายถึงปรินซ์และดัชเชส นั่นเอง โดยใช้ตัวการ์ตูนเจ้าชายผมแดงกับพระชายาผู้ซึ่งอยู่ในเสื้อผ้าเหมือนเปี๊ยบกับชุดของดัชเชสเมแกน
ขณะที่ เดอะฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ ระบุว่าปรินซ์แฮร์รีและดัชเชสเมแกนล้มเหลว “ที่จะเอาสถานภาพเซเลบริตีมาสร้างรายได้ในสหรัฐอเมริกา” นับจากที่ทรงย้ายถิ่นฐานมาปักหลักในลอสแอนเจลิส นั้น ดิอินดีเพ็นเดนต์ก็ฟันธงเลยว่า สำหรับปี 2023 นั้น เอาตราไปแปะได้เลยว่าเป็นปีย่อยยับของปรินซ์แฮร์รีและดัชเชสเมแกน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลกระทบจากวิกฤติเดือนมิถุนายนเมื่อสปอติฟาย แพลตฟอร์มบริการสตรีมมิงดนตรีและวิดีโอค่ายใหญ่สุดของโลก ประกาศยุติข้อตกลงธุรกิจพอดแคสต์มูลค่าประมาณ 20-25 ล้านดอลลาร์ที่ทำไว้กับบริษัทอาร์ชแวลล์ ออดิโอ ของดัชเชสเมแกนกับเจ้าชายแฮร์รีนับแต่ปลายปี 2020

ภายใต้ดีลนี้ เป็นที่คาดหมายกันว่าอาร์ชแวลล์ของดัชเชสเมแกนจะผลิตพอดแคสต์อาร์เคอไทปส์ ที่ขนเอาเรื่องอื้อฉาวของพระราชตระกูลวินด์เซอร์ไปเล่าในรายการ เพื่อเป็นคอนเทนต์แม่เหล็กดึงดูดชาวโลกให้แห่กันไปติดตามที่สปอติฟาย แต่แล้วพอดแคสต์อาร์เคอไทปส์เป็นจริงขึ้นมาเพียง 1 ซีซัน รวม 12 เอพพิโซด โดยปรากฏข่าวแพลมออกไปเกี่ยวกับการประเมินคุณภาพมาตรฐานผลงานของดัชเชสว่า ไม่ถึงมาตรฐานของสปอติฟาย

แต่ที่น่าอับอายกว่านั้นคือ หลังจากปิดดีลไปแล้ว ดัชเชสและปรินซ์ถูกผู้บริหารระดับบิ๊กของสปอติฟายเช็กบิลด้วยการประณามทั้งสองพระองค์เป็นพวกต้มตุ๋น-สิบแปดมงกุฎ

ความล้มเหลวมหาศาลของคู่ปรินซ์แฮร์รีกับดัชเชสเมแกนถูกปิดท้ายปี 2023 ด้วยข่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 ธันวาคม) ว่ามูลนิธิอาร์ชแวลล์ของทั้งสองพระองค์ มีผลดำเนินงานติดลบในปี 2022 เป็นจำนวนเงินมากมายถึง 674,485 ดอลลาร์ (ราว 30 ล้านบาท) จากที่มียอดเงินบริจาคหดฮวบ 80% เหลือแค่ 2.005 ล้านดอลลาร์ แต่ค่าจ้างพนักงานทะยานเกือบ 400% จาก 163,085 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นเป็น 640,441 ดอลลาร์

นักวิเคราะห์ชี้ว่าหลังจากที่ สปอติฟาย ประกาศยุติข้อตกลงธุรกิจพอดแคสต์มูลค่าประมาณ 20-25 ล้านดอลลาร์ที่ทำไว้กับบริษัทอาร์ชแวลล์ ออดิโอ ของดัชเชสเมแกนกับเจ้าชายแฮร์รี ซึ่งทำให้พอดแคสต์ อาร์เคอไทปส์ เป็นจริงขึ้นมาเพียง 1 ซีซัน ครอบครัวซัสเซกซ์ก็ไม่สามารถปรับสถานการณ์ได้ และเมื่อถึงปลายปี ก็ถูกแปะป้ายว่า ปี 2023 กลายเป็นปีย่อยยับของปรินซ์แฮร์รีและดัชเชสเมแกน

ภาพบรรยากาศการโปรโมทหนังสือ SPARE หนังสืออัตชีวประวัติของเจ้าชายแฮร์รี ด้วยวิธีหั่นราคากันดุๆ 30% ภายในร้านบาร์นส์แอนด์โนเบิลที่มหานครนิวยอร์กเมื่อ 14 มกราคม 2023 ในการนี้ หนังสือ SPARE ได้รับการอวยใหญ่โตว่า เป็นหนังสือที่ไม่ใช่นวนิยายซึ่งขายออกไปได้ฉับไวที่สุดเท่าที่เคยปรากฏกันมา คือมากกว่า 3.2 ล้านฉบับภายในสัปดาห์แรกระหว่างวันที่ 10-17 มกราคม 2023 (โดยมีจำนวนมากที่เป็นการขายแบบจองล่วงหน้าก่อนหนังสือวางแผง) กระนั้นก็ตาม เมื่อสื่อต่างๆ รายงานเรื่องนี้ ก็มักที่จะนำภาพแสดงป้ายประกาศลดราคาภายในร้านหนังสือที่ระดับ 30%บ้าง 50%บ้าง มาประกอบข่าว ซึ่งเตือนให้ตระหนักถึงวิธีโปรโมทหนังสือด้วยการลดราคาดุเดือด ตั้งแต่ก่อนหนังสือวางแผง จดจนกระทั่งหนังสืออยู่บนแผงก็ยังเดินหน้าหั่นราคาอย่างสะบั้น ทั้งนี้ โดยทั่วไปนั้น โครงสร้างการแบ่งรายได้จากราคาของหนังสือ จะให้นักเขียน 10% ให้โรงพิมพ์ 20% ให้ผู้กระจายหนังสือไปยังร้าน (สายส่ง) 35% ให้ร้านหนังสือ 20% ขณะที่สำนักพิมพ์เหลือค่าดำเนินงาน 15% ดังนั้น ยอดขาย 3.2 ล้านฉบับในสัปดาห์แรก ย่อมหมายถึงว่าต้องมีนายทุนมาจ่ายชดเชยให้แก่บางองคาพยพ และในส่วน 10% ของนักเขียนนั้น น่าจะอยู่ในการลดราคาสะบั้นหั่นแหลก30-50%  ในการนี้ ภาคส่วนในวงการหนังสือน่าจะมองออก แต่จะบอกไปก็ไม่เหมาะ ว่าปรินซ์แฮร์รีไม่น่าจะได้ส่วนแบ่งจากรายได้ค่าขายหนังสือ 3.2 ล้านเล่ม และน่าจะต้องควักกระเป๋าจ่ายในองคาพยพใดบ้างอีก 40%ของราคาปก อาทิ ส่วนของร้านหนังสือ 20% กับส่วนของโรงพิมพ์ 20%
มูลนิธิอาร์ชแวลล์ของ ‘แฮร์รี-เมแกน’ ล้มเหลวดุเดือด ค่าใช้จ่ายมูลนิธิทะยานหลายเท่าตัว ทั้งที่ยอดบริจาคดิ่งหนัก

รายงานผลดำเนินงานประจำปี 2022 ปรากฏออกมาว่า มูลนิธิอาร์ชแวลล์ของปรินซ์แฮร์รีกับพระชายาเมแกน บริหารงานล้มเหลวจนกระทั่งมียอดติดลบมากมายถึง 674,485 ดอลลาร์ โดยเป็นผลจากสองสาเหตุ คือ
1.ยอดรายรับจากเงินบริจาคลดฮวบ
2.ยอดค่าใช้จ่ายของมูลนิธิทะยานเกือบ 400% โดยไปหนักที่ค่าจ้างพนักงาน ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็พุ่งเพิ่มด้วย

ยอดบริจาคที่มูลนิธิอาร์ชเเวลล์ได้รับในปี 2022 ลดฮวบเหลือ 2.005 ล้านดอลลาร์ จากที่เคยทำยอดได้ถึง 12.9 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 ซึ่งเท่ากับหดหายไป 10.9 ล้านดอลลาร์ เดลิเมลออนไลน์รายงานจากงบการเงินที่เผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว

แต่ยอดค่าใช้จ่ายของมูลนิธิทะยานเกือบ 400%

โดยเป็น 1.หมวดค่าจ้างเจ้าหน้าที่ 5 ราย สูงถึง 640,441 ดอลลาร์ในปี 2022 ทะยานจากระดับ 163,085 ดอลลาร์ในปี 2021 โดยไปโป่งหนักที่ค่าตัวของมือขวาปรินซ์แฮร์รี นามว่า เจมส์ โฮลต์ ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิฯ จำนวน 267,405 ดอลลาร์ต่อปี หรือก็คือ เกือบครึ่งของหมวดค่าจ้างทั้งหมด

และ 2.หมวดค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นๆ จำนวน 786,201 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นจากระดับ 727,666 ดอลลาร์ในปี 2021 หรือเท่ากับพุ่งขึ้นเกือบ 10%

นอกจากนั้น เป็น 3.หมวดเงินช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และเงินสนับสนุนโครงการสร้างสรรค์ (ซึ่งเป็นภารกิจหลักของมูลนิธิ) จำนวน 1.2 ล้านดอลลาร์ ลดฮวบมากกว่า 50% จาก 3.096 ล้านดอลลาร์ในปี 2021

รวม 3 หมวด เป็นรายจ่ายทั้งสิ้น 2.67 ล้านดอลลาร์ แต่ในเมื่อมูลนิธิได้รับเงินบริจาคเข้าไปเพียง 2.005 ล้านดอลลาร์ มูลนิธิจึงมีผลการดำเนินงานติดลบ 674,485 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1 ใน 3 ของยอดบริจาคที่ได้รับ

แต่ที่ดุเดือดกว่านั้น คือ ค่าใช้จ่ายในหมวดที่ 1 กับหมวดที่ 2 ซึ่งเป็นค่าดำเนินงานมูลนิธิ มียอดรวมอยู่ที่ 1.426 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าเงินช่วยเหลือสนับสนุนสังคมตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ณ 1.2 ล้านดอลลาร์ มหาศาลกว่า 226,000 ดอลลาร์กันเลยทีเดียว

มหาเศรษฐีใจบุญที่พิจารณาจะบริจาคเข้าสู่มูลนิธิอาร์ชแวลล์ น่าจะต้องคิดหนัก ว่าเงินบริจาคที่มอบไปนั้น จะถูกใช้จ่ายเหมาะสมเพียงใด ในเมื่อผู้บริหารมูลนิธิฯ ควรคุมค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพ

รายงานการเงินของมูลนิธิอาร์ชแวลล์ ปี 2022 โดยตัวเลขในวงสีแดงฝั่งซ้าย คือตัวเลขปี 2021 และตัวเลขในวงสีแดงฝั่งขวา คือตัวเลขปี 2022  ทั้งนี้ บรรทัดหมายเลข12 หมายถึงยอดรายรับจากเงินบริจาคเข้าสู่มูลนิธิ  ขณะที่บรรทัดหมายเลข19 หมายถึงผลดำเนินงานว่าเหลือเงิน หรือไม่เหลือและติดลบเท่าไร และบรรทัดหมายเลข15 หมายถึงยอดค่าจ้างพนักงานมูลนิธิ ซึ่งทะยานขึ้นอย่างลิ่วหลายเท่าตัวกันเลยทีเดียว นอกจากนั้นบรรทัดหมายเลข17 หมายถึงยอดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของมูลนิธิ ซึ่งพุ่งขึ้นไปกว่า 10%

เจมส์ โฮลต์ (ขวาสุด) มือขวาของปรินซ์แฮร์รี และผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิอาร์ชแวลล์ ได้รับค่าเหนื่อยในปี 2022 เป็นจำนวน 267,405 ดอลลาร์ต่อปี หรือก็คือ เกือบครึ่งของหมวดค่าจ้างทั้งหมด โดยเป็นการขึ้นเงินเดือนและโบนัสให้ไปในอัตราไม่น้อยกว่า 100% จากเมื่อปี 2021 ทั้งๆ ที่รายรับจากเงินบริจาคสนับสนุนงานสังคมสงเคราะห์และงานส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์ ดิ่งฮวบลงมหาศาล
ปรินซ์แฮร์รีและพระชายาเมแกน ทรงพิ’ณาจะกลับไปเสวยกงสีที่พระราชวัง เหล่าผู้เชี่ยวชาญฟันธง เพราะล้มเหลวรอบด้าน รายจ่ายทะลุเป้า แต่รายได้หลุดตลอด

ผู้เชี่ยวชาญด้านการพระราชวงศ์ของสื่อมวลชนใหญ่ยักษ์พากันจับตาว่า ดยุกแฮร์รีและดัชเชสเมแกนจะตัดสินพระทัยหวนกลับวังเมื่อใด ในเมื่อดยุกทรง “ขว้างก้อนหินถามทาง” อย่างโจ่งแจ้ง ในแถลงการณ์ประกาศชัยชนะกรณีฟ้องสื่อมวลชนแฮ็กโทรศัพท์-เอาข้อมูลไปขายข่าว แต่รายได้หลุดเป้าหมายราว 65%

ดยุกแห่งซัสเซกซ์ทรงขวนขวายจะกลับคืนสู่พระราชวัง เพราะ “ทุกสิ่งที่ทรงดำเนินการล้วนล้มเหลว” แอนเจลา เลเวิน สุดยอดผู้เชี่ยวชาญการพระราชวงศ์หมวดเจ้าชายแฮร์รี วิเคราะห์ไว้ในรายการคุยข่าว จีบีนิวส์ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

แต่ดยุกแฮร์รีผู้ที่จะทรงกลับสู่พระราชวัง ทรงเปลี่ยนไปหมดสิ้นแล้ว และจะทรงเป็นความเสี่ยงต่อพระราชสำนัก แอนเจลา เลเวิน วิเคราะห์อย่างนั้น

ร่องรอยในเรื่องนี้ปรากฏในการต่อสู้คดีความที่ดยุกแฮร์รีตั้งเป้าหมายจะเล่นงานกระทรวงมหาดไทย กรณีที่ไม่จัดถวายการรักษาความปลอดภัยแด่พระองค์ในแต่ละครั้งที่เสด็จไปสหราชอาณาจักร อันเป็นผลจากการที่พระองค์ทรงลาออกจากการเป็นสมาชิกพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติพระภารกิจของสำนักพระราชวัง

โดยดยุกแฮร์รีทรงประสงค์จะเปลี่ยนกฎระเบียบที่ดูเป็นการลดชั้นสถานภาพ

ความเคลื่อนไหวต่อสู้ดังกล่าวนี้ แอนเจลา เลเวิน ชี้ว่าเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความตั้งพระทัยที่จะหวนกลับเข้าอยู่ในแวดวงของพระราชตระกูลนั่นเอง รายงานข่าวของจีบีนิวส์นำเสนอไว้อย่างนั้น

“ลอนดอนเป็นพระตำหนักของพระองค์ และพระองค์ทรงประสงค์ให้พระโอรสพระธิดาได้ประทับที่นี่” แอนเจลา เลเวิน ฟันธงไว้อย่างนั้น และกล่าวอธิบายว่าดยุกแฮร์รีทรงตั้งเงื่อนไขว่าครอบครัวซัสเซกซ์ไม่สามารถมาประทับในอังกฤษได้ ถ้าไม่ได้รับการคุ้มครองอารักขาระดับสูงสุด

“ดิฉันคิดเลยค่ะ พระองค์เริ่มต่อสู้เรื่องนี้ เพราะจะทรงกลับมา ซึ่งมันก็เป็นเพราะว่าทุกสิ่งอย่างที่ทรงดำเนินการนั้นล้มเหลวไปหมดแล้วน่ะค่ะ

“พระองค์ทรงประสงค์จะกลับมา ทรงประสงค์จะเป็นสมาชิกพระราชตระกูลอีกคราหนึ่ง แต่ พระเจ้าทรงโปรดเถิด พระองค์ทรงเป็นแฮร์รีที่เปลี่ยนไปอย่างมากมายแล้ว และพระองค์จะทรงทำอะไรก็ได้ที่ทรงปรารถนา

“ประเด็นมีอยู่ว่าพระองค์ทรงไม่มีความเคารพในเสด็จพระราชบิดา ทรงไม่มีความเคารพในพระราชตระกูล ดิฉันจึงคิดว่าพระองค์จะเป็นอันตรายใหญ่หลวง เพราะจะทรงต่อกรกับพระราชตระกูล” แอนเจลา เลเวิน วิเคราะห์ไว้อย่างนั้น


แอนเจลา เลเวิน ออกโทรทัศน์ให้สัมภาษณ์ในรายการ Royal Round-Up ของสถานีข่าว GB News โดยฟันธงว่าปรินซ์แฮร์รีทรงขวนขวายจะกลับคืนสู่พระราชวังอังกฤษ เพราะ “ทุกสิ่งที่ทรงดำเนินการล้วนล้มเหลว” และชี้ว่าหากปรินซ์กลับมาจริง ก็จะเป็นความเสี่ยงต่อพระราชสำนัก เพราะพระองค์ทรงเป็นแฮร์รีที่เปลี่ยนไปอย่างมากมายแล้ว และพระองค์จะทรงทำอะไรก็ได้ที่ทรงปรารถนา รวมถึงการต่อสู้กับพระราชตระกูล

แอนเจลา เลเวิน ขณะสนทนาข่าวพระราชสำนักกับพิธีกรสาว นานา อากัว ในรายการ Royal Round-Up ของสถานีข่าว GB News
มาตรว่าการวิเคราะห์ของเหล่ากูรูมีความแม่นยำ แต่ก็มิใช่ง่ายที่ปรินซ์แฮร์รีและพระชายาเมแกนจะทรงสมปรารถนา เพราะในการกราบบังคมทูลขอเสด็จพระราชบิดาให้ความสนับสนุน ย่อมต้องมีเรื่องของการกล่าวขออภัยสำหรับการใส่ร้ายป้ายสีโจมตีต่างๆ ที่ได้กระทำไปแล้ว ตลอดจนการสัญญาที่จะไม่ให้กระทำอีกอย่างเด็ดขาดในอนาคต

ทั้งนี้ แหล่งข่าวใกล้ชิดสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ได้กระซิบสู่สื่อมวลชนแล้วว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงโนสนโนแคร์กับการถูกนำพระนามไปปล่อยในหนังสืออาบยาพิษเรื่อง Endgame เวอร์ชั่นแปลเป็นภาษาอังกฤษร ว่าทรงเป็นสมาชิกพระราชวงศ์ที่เอ่ยถึงเรื่องสีผิวของเจ้าชายอาร์ชีในครรภ์ของพระสุณิสาเมแกน

“แหล่งข่าวหลายรายซึ่งใกล้ชิดกษัตริย์ชาร์ลส์ ผู้ทรงถูก โอมิด สโคบี เขียนกล่าวหาว่าทรงเอ่ยถึงสีผิวของเจ้าชายอาร์ชี นั้น พากันไปเปิดเผยกับเดอะซันว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงไม่ใส่พระราชหฤทัยอะไรกับการถูกระบุพระนาม และในทางตรงข้าม พระองค์ทรงมีพลังเต็มเปี่ยม” เดอะซันนำเสนอข่าวไว้ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

พร้อมกันนี้ บรรดาแหล่งข่าวเหล่านี้เผยประเด็นทีเด็ดทีขาดกับเดอะซันด้วยว่า

กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงกล่าวกับประดาพระสหายว่า “พระองค์จะไม่ยอมถูกพระราชโอรสทำการแบล็กเมล์ในทางอารมณ์ต่อพระองค์”

ยิ่งกว่านั้น ยังมีข่าวแพลมออกมาในห้วงไล่เลี่ยกันด้วยว่า กษัตริย์ชาร์ลส์ทรงเตรียมจะฟาดกลับใส่หนังสือ Endgame ด้วยหลายมาตรการ ซึ่งรวมถึงมาตรการฟ้องร้องดำเนินคดีด้วย

สำหรับห้วงนี้ จึงเป็นสถานการณ์ลำบาก จะอยู่แอลเอ น่าจะไม่ไหว - จะกลับวังที่อังกฤษ ก็ต้องกลืนเลือดกลืนน้ำลายแกล้มด้วยแวเลียมกันหลายกล่องทีเดียว

สาธารณชนเชื่อว่าเจ้าชายแฮร์รีและดัชเชสเมแกนทรงอยู่เบื้องหลังการเขียน การผลิต การโปรโมท หนังสือ Endgame ของ โอมิด สโคบี นักประพันธ์ผู้โด่งดังที่ได้ฉายามานานแล้วว่า กระบอกเสียงของดัชเชสเมแกน รวมถึงการให้หนุ่มโอมิด สโคบี ได้เห็นจดหมายที่ดัชเชสเขียนต่อว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ (พระอิสริยยศก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์) กรณีที่ทรงกล่าวถึงสีผิวของเจ้าชายอาร์ชีที่อยู่ในครรภ์ของดัชเชสเมแกน ดังนั้น ในเหตุการณ์วิกฤติที่หนังสือ Endgame ฉบับที่แปลเป็นภาษาดัตช์ ปรากฏพระนามของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์พิมพ์หราตัวอักษรดำบนกระดาษขาว ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมายหมิ่นประมาท นั้น หากสำนักพระราชวังมีนโยบายฟ้องร้องดำเนินคดี โอมิด สโคบี ย่อมจะมีความผิด และอาจจะซัดทอดไปยังดัชเชส เพื่อให้ตนเองได้รับการกันตัวเป็นพยาน ทั้งนี้ หากเหตุวิกฤติดำเนินไปในแนวดังกล่าว ท่านผู้ชมทั่วโลกก็จะได้รับความรู้และความบันเทิงกันยกใหญ่ทีเดียว
คอลัมน์ PLANET No.3

โดย รัศมี มีเรื่องเล่า


(ที่มา: ดิอินดีเพ็นเดนต์ เดอะฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ เดลิเมลออนไลน์ จีบีนิวส์ เดอะซัน)

กำลังโหลดความคิดเห็น