xs
xsm
sm
md
lg

รมว.พาณิชย์สหรัฐฯ-จีนหารือกันหลายชั่วโมง ตกลงตั้งคณะทำงานชุดใหม่คุยข้อมูลควบคุมการส่งออก-ประเด็นปัญหาทางการค้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


คณะผู้แทนฝ่ายสหรัฐฯ นำโดยรัฐมนตรีพาณิชย์ จีนา ไรมอนโด (ที่สองจากขวา) หารือกับฝ่ายจีนนำโดยรัฐมนตรีพาณิชย์ หวัง หวินเทา ของจีน (ที่สองจากซ้าย) ที่กระทรวงพาณิชย์จีนในกรุงปักกิ่ง วันจันทร์ (28 ส.ค.)
รัฐมนตรีพาณิชย์ จีนา ไรมอนโด ของสหรัฐฯ หารืออย่างยาวนานกับรัฐมนตรีพาณิชย์ หวัง เหวินเทา ของจีนที่กรุงปักกิ่งในวันจันทร์ (28 ส.ค.) โดยสองประเทศตกลงที่จะเริ่มเปิดการสนทนาข้อมูลข่าวสารเรื่องการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออก ขณะที่ฝ่ายอเมริกันหยิบยกความกังวลที่แดนมังกรจำกัดธุรกิจอเมริกัน อย่างอินเทล และไมครอน

นอกจากนั้น ทั้งคู่ยังหารือถึงการที่จีนจำกัดการส่งออกแร่แกลเลียมและแร่เจอมาเนียม ระหว่างการสนทนากันในหัวข้อต่างๆ อย่างกว้างขวางและตรงไปตรงมาซึ่งกินเวลากว่า 2 ชั่วโมง แล้วยังตามมาด้วยการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันประมาณ 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ตามการแสดงความเห็นอย่างสั้นๆ จากไรมอนโด และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

ไรมอนโด ต้องการพูดถึงความกังวลที่ได้ทราบจากพวกธุรกิจสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่าประสบความยากลำบากในการดำเนินงานในจีน “เรากำลังพูดถึงปัญหานี้ เราจะมีการสื่อสารกันอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้” เธอกล่าวในการหารือกับพวกเจ้าหน้าที่ทางธุรกิจ

รัฐมนตรีหญิงผู้นี้ เป็นเจ้าหน้าที่ในคณะบริหารไบเดนคนล่าสุดที่เดินทางมาเยือนปักกิ่ง ในความพยายามที่จะเพิ่มการสื่อสารระหว่างกันให้แข็งขันยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจและกลาโหม ขณะที่ความไม่ลงรอยกันในทางเศรษฐกิจระหว่างชาติเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกทั้งสองรายนี้ กำลังคุกคามที่จะสั่นคลอนความสัมพันธ์ทางธุรกิจของทั้งสองฝ่าย

ไรมอนโดบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า เธอได้แจ้งให้คู่เจรจาฝ่ายจีนของเธอทราบถึงความกังวลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของปักกิ่ง ซึ่งส่งผลในทางปฏิบัติกลายเป็นการแบนไม่ให้บริษัทจีนซื้อชิปความจำจากบริษัทไมครอนเทคโนโลยี

จากการสนทนากันคราวนี้ วอชิงตันและปักกิ่งยังเห็นพ้องกันให้ตั้งคณะทำงานร่วมกันอย่างเป็นทางการชุดใหม่ในประเด็นปัญหาต่างๆ ทางการพาณิชย์ และในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออก ทั้งนี้ตามคำแถลงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

ไรมอนโดกล่าวเพิ่มเติมว่า การเริ่มเปิดการแลกเปลี่ยนความเห็นกันด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมนี้ คือการสร้าง “เวทีสำหรับลดความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับนโยบายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ” โดยที่เธอกล่าวต่อไปด้วยว่า สหรัฐฯ ไม่ได้กำลังยอมประนีประนอมหรือยอมเจรจาต่อรองในเรื่องที่ถือเป็นความมั่นคงของชาติ

ทั้งนี้ การพบปะหารือกันแบบพบหน้ากันครั้งแรกสำหรับเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ จะมีขึ้นในวันอังคาร (29) ที่กระทรวงพาณิชย์จีน โดยที่ผู้นำคณะหารือของฝ่ายสหรัฐฯ คือ แมตธิว อะเซลร็อด ผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์ฝ่ายการบังคับใช้มาตรการการส่งออก ไรมอนโดบอก ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสผู้หนึ่งของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า การพบปะเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกันนี้ต่อไปจะมีขึ้นอย่างน้อยปีละครั้ง พร้อมกันนั้น ย้ำว่านี่ไม่ใช่เป็นการสนทนาเรื่องนโยบาย แต่เป็นความพยายามของทั้งสองฝ่ายที่จะตอบคำถามในเรื่องการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกของแต่ละฝ่าย

ทั้งนี้ที่ผ่านมา จีนวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของสหรัฐฯ ที่มุ่งใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเพื่อสกัดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงเซมิคอนดักเตอร์ระดับก้าวหน้า และไรมอนโดกล่าวย้ำในการพูดกับพวกผู้สื่อข่าวในวันจันทร์ว่า สหรัฐฯ ไม่ได้เปิดให้นำเอานโยบายเหล่านี้มาอภิปรายถกเถียงกัน

ในเดือนนี้ทำเนียบมีความเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นห้ามไม่ให้นักลงทุนต่างๆ ของสหรัฐฯ เข้าลงทุนในเทคโนโลยีอ่อนไหวหลายๆ แขนงในประเทศจีน รวมทั้งมีแผนการเพื่อการสรุปสุดท้ายเกี่ยวกับมาตรการที่มีขอบเขตกว้างขวางซึ่งมุ่งจำกัดการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์รุ่นก้าวหน้าไปจีนในเร็วๆ นี้

ก่อนหน้านั้นในปีนี้ ไรมอนโดยังใส่รายชื่อบริษัทจีนมากกว่า 200 แห่งเข้าไปในบัญชีดำควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ และกล่าวย้ำหลายครั้งว่าเธอไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจเช่นนี้เมื่อเห็นว่ามีความจำเป็นขึ้นมา

สำหรับคณะทำงานชุดใหม่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาทางการพาณิชย์นั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ อธิบายขยายความเอาไว้ในคำแถลงฉบับหนึ่งที่ออกมาภายหลังการหารือระหว่างรัฐมนตรีพาณิชย์ของประเทศทั้งสอง โดยบอกว่า เป็นกลไกเพื่อการปรึกษาหารือที่มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐบาลของฝ่ายสหรัฐฯ และฝ่ายจีน ตลอดจนพวกตัวแทนของภาคเอกเชนเข้าร่วม “เพื่อหาหนทางออกในเรื่องประเด็นปัญหาการค้าและการลงทุน และเพื่อผลักดันผลประโยชน์ทางการพาณิชย์ของสหรัฐฯ ในจีนให้คืบหน้าไป”

คณะทำงานนี้จะหารือกันในระดับผู้ช่วยรัฐมนตรีปีละ 2 ครั้ง โดยสหรัฐฯ จะเป็นเจ้าภาพการหารือครั้งแรกในต้นปี 2024

(ที่มา : รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น