ราคาน้ำมันขยับลงในวันจันทร์ (14 ส.ค.) จากความกังวลการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เปราะบางในจีนและดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ปัจจัยหลังนี้ฉุดทองคำปรับลดเช่นกัน ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวก ได้แรงหนุนจากความเคลื่อนไหวของหุ้นบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนกันยายน ลดลง 68 เซนต์ ปิดที่ 82.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 60 เซนต์ ปิดที่ 86.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ด้วยความหวังเลือนรางลงเรื่อยๆ ว่าเศรษฐกิจจีนจะช่วยผลักดันอุปสงค์คืนสู่ระดับก่อนหน้าเกิดโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ปัจจัยนี้เป็นตัวฉุดรั้งราคาน้ำมันในวันจันทร์ (14 ส.ค.)
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังถูกฉุดจากการแข็งค่าของดอลลาร์ หลังราคาผู้ผลิตสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมดีดตัวขึ้น และปัจจัยนี้เองที่ฉุดให้ราคาทองคำในวันเดียวกันปิดลบแตะระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 2.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,944.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในแดนบวกในวันจันทร์ (14 ส.ค.) ได้แรงหนุนจากหุ้นของเอ็นวิเดีย บริษัทผู้ผลิตชิป เช่นเดียวกับบรรดาบริษัทที่มีมูลค่าขนาดใหญ่อื่นๆ
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 26.23 จุด (0.07 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 35,307.63 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 25.67 จุด (0.58 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,489.72 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 143.48 จุด (1.05 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,788.33 จุด
เอ็นวิเดีย ดีดตัวขึ้น 7.1% ถือเป็นการปรับขึ้นวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม โดยหนนั้นหุ้นของเอ็นวิเดีย ปิดบวก 24% จากการประมาณการรายได้ที่แข็งแกร่ง จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับชิปปัญญาประดิษฐ์
นอกจากการปรับขึ้นของหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิปแห่งนี้ วอลล์สตรีทยังได้แรงหนุนจากหุ้นเติบโตบริษัทขนาดใหญ่เช่นกัน ในนั้นรวมถึงอัลฟาเบ็ท บริษัทแม่ของกูเกิล ที่ดีดตัวขึ้น 1.4% แอมะซอน ปิดบวก 1.6% และไมครอน เทคโนโลยี ขยับขึ้น 6.1%
(ที่มา : รอยเตอร์)